สำหรับนักบิด เจอรุ่นนี้เข้าไปเป็นไง
https://www.facebook.com/163129941036/posts/10159411264166037/?sfnsn=mo
Fuller Moto’s Majestic 2029
ในประวัติศาสตร์ของโลกมอเตอร์ไซค์ รถต้นแบบที่ใช้ระบบบังคับเลี้ยวที่เรียกว่า Hub-Centered Steering หรือ ระบบบังคับเลี้ยวจากดุมล้อ ซึ่งมาพร้อมกับระบบกันสะเทือนแบบ Sliding Pillar Suspension หรือระบบกันสะเทือนแบบเคลื่อนบนแกนแนวตั้ง ได้เกิดขึ้นกับรถที่ชื่อว่า 1929 Majestic ที่สร้างขึ้นในประเทศฝรั่งเศสเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว และรถที่ใช้ระบบนี้ที่สร้างชื่อในยุคปัจจุบันก็คือ Bimota
90 ปีต่อมา แนวคิดในการสร้างรถระดับตำนานจากฝรั่งเศสก็ยังคงความขลังในหมู่นักสร้างคัสตอมไบค์ จนทำให้ Bryan Fuller ใช้แนวคิดและดีไซน์ชิ้นนี้มาทำให้เกิดรถที่ชื่อว่า 2029
การสร้างรถคันนี้เกิดขึ้นในยุคที่เรียกว่ามีความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นประวัติการณ์ในวงการคัสตอมไบค์ แต่ Fuller บอกว่า “โดยแก่นแท้แล้ว ศิลปะในการสร้างรถมอเตอร์ไซค์ก็ยังคงคล้ายคลึงกับจุดเริ่มต้นในอดีต แต่ความแตกต่างที่สำคัญคือ เทคโนโลยีที่ใช้ในการสร้างชิ้นงาน และเครื่องมือในการออกแบบต่างหาก”
เมื่อเรามองดูรถ 2029 แล้ว มันเป็นการเตรียมตัวเข้าสู่อนาคต เป็นอนาคตที่ทุกอย่างเป็นไปได้ในการสร้างชิ้นงานให้เป็นไปตามดีไซน์ในโลกยุคใหม่ โดยรถคันนี้เป็นรถไฟฟ้า 100% ตัวถังรถถูกขึ้นรูปจากแผ่นอลูมิเนียม ระบบบังคับเลี้ยวแบบ Hub-Centric Steering วงล้อใสปิ๊งเหมือนกับล่องหนเพราะทำขึ้นมาจากแผ่น Polycarbonate และชิ้นส่วนบางชิ้นถูกสร้างขึ้นจากไททาเนียมที่ขึ้นรูปจากเครื่องพิมพ์ 3D
2029 ถูกสร้างขึ้นจากสตูดิโอของ Fuller Moto ที่เมือง Atlanta ในรัฐ Georgia โดยผู้เป็นเจ้าของรถคันนี้คือ Hass Moto Museum and Sculpture Gallery ซึ่งจะถูกส่งไปโชว์ตัวต่อสาธารณะชนเป็นครั้งแรกในงาน Handbuilt Show และหลังจากนั้นจะถูกนำไปจัดแสดงที่แกลลอรี่ของ Hass ซึ่งมีรถของ Fuller Moto จัดแสดงอยู่ก่อนหน้าแล้ว 2 คัน
Bobby Hass เจ้าของแกลลอรี่ ผู้สั่งจ้างให้ Fuller Moto สร้างรถ 2029 ขึ้นมาบอกว่า “รถคันนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก ไม่มีต้นแบบให้สร้าง ซึ่งมันจะกลายเป็นงานศิลปะที่สามารถขับขี่ได้”
ด้วยการสร้าง 2029 ที่มีความซับซ้อนตามที่ได้ออกแบบเอาไว้ Fuller อยากที่จะก้าวข้ามวิธีการสร้างชิ้นงานแบบดั้งเดิม โดยการใช้เครื่องมือสำหรับยุคอนาคตอย่างเครื่องพิมพ์โลหะ 3D
Bryan Heidt หัวหน้าทีมสร้างชิ้นงานโลหะที่ทำงานตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบร่วมกับ Fuller ได้สร้างไฟล์ CAD ขึ้นมาเพื่อที่จะสามารถขัดเกลาชิ้นงานได้อย่างถูกต้อง มีรูปทรงและฟังชั่นการใชังานตามจินตนาการที่ Fuller ได้ออกแบบเอาไว้
หลังจากนั้น ทีมงานของ Fuller ก็ได้ส่งไฟล์ CAD ไปให้กับ Nick Pugh ซึ่งเป็นดีไซเนอร์ระดับแนวหน้าผู้ร่วมสร้างมหากาพท์หนังอย่าง Star Wars เพื่อช่วยขับเกลาแบบครั้งสุดท้าย และจบลงที่นักสร้างชิ้นงานด้วยเครื่องพิมพ์ 3D อย่าง Oerlikon ผู้ทำให้ชิ้นงานที่ออกแบบเอาไว้ออกมาเป็นสิ่งที่จับต้องได้ด้วยวัสดุอย่าง Titanium ที่มีน้ำหนักเบาที่สุดแต่แข็งแรงที่สุดในบรรดาโลหะที่ใช้ในการพิมพ์ด้วยเครื่อง 3D ซึ่งทำให้เกิดชิ้นงานที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในการสร้างด้วยมือแบบเก่า อย่างตัวแขนที่ใช้บังคับเลี้ยวในระบบ HCS ที่มีรูปทรงโค้งเว้าสอดรับกันอย่างลงตัว หรือดุมล้อพร้อมก้านจับที่มีรูปร่างซับซ้อน
ระบบการขับเคลื่อน Fuller เลือกใช้ระบบมอเตอร์ไฟฟ้าจาก Zero FXS ที่มีความยาวตัวรถตรงตามรถ Majestic ต้นแบบ แต่มาติดปัญหาอยู่ที่ตัวมอเตอร์อยู่ในตำแหน่งต่ำเกินไป และแบตเตอรี่ก็อยู่สูงเกินไป ทำให้ต้องมีการปรับตำแหน่งของเฟรมและจุดยึดมอเตอร์รวมไปถึงแบตเตอรี่ซะใหม่
ตัวรถถูกครอบด้วยแผ่นอลูมิเนียม 3003-H14 ที่ถูกปั้นขึ้นมาโดยใช้ 1929 Majestic เป็นต้นแบบ ซึ่งการขึ้นรูปในเบื้องต้นใช้เหล็กเส้นขนาด 1/4” เชื่อมขึ้นรูปกับโครงเฟรมอลูมิเนียม และใช้เครื่อง MultiCam CNC WaterJet ในการตัดชิ้นส่วนให้เป็นไปตามที่ต้องการ
Fuller ออกแบบส่วนของช่องดักลมด้านหน้าที่เรียกว่า Gills เพื่อที่จะส่งผ่านอากาศเข้าสู่ตัวรถ พร้อมกับสีฟ้าที่ถูกพ่นอยู่ภายในทำให้สะท้อนเงาสีออกมาภายนอก ซึ่งเป็นโทนสีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก 1929 Majestic
การสร้างระบบบังคับเลี้ยวอย่าง Hub-Centric Steering ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยระบบนี้ถูกใช้อยู่แค่ในรถอย่าง Bimota, Ner-A-Car และ 1929 Majestic เท่านั้น แต่ Bryan Heidt ก็ได้ดุมล้อมาจากรถ Bimota Tesi ทำให้การขึ้นชิ้นงานในส่วนประกอบอื่นๆ ทำได้อย่างถูกต้องตรงตามหลักวิศวกรรมจากต้นฉบับ
ชิ้นส่วนต่างๆของตัวรถถูกสร้างขึ้นจากเครื่องมือสมัยใหม่อย่างเครื่องพิมพ์โลหะ 3D และ CAD ซึ่ง Fuller มองว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงวิธีการสร้างรถคัสตอมอย่างสิ้นเชิง “ขอต้อนรับสู่โลกใหม่แห่งการสร้างงานคัสตอม”
บทความแปลอ้างอิงจาก Bike Exif
https://www.bikeexif.com/custom-majestic-motorcycle
