สรุป วอร์แรนท์ คืออะไร เข้าใจในโพสต์เดียว /โดย ลงทุนแมน
ถ้าใครเคยจองซื้อคอนโดฯ เจ้าของโครงการจะออกเอกสารที่แสดงถึงการจองสิทธิเพื่อซื้อคอนโดฯ ไว้เบื้องต้น โดยเรามีหน้าที่วางเงินเป็นหลักประกัน และชำระเงินตามเงื่อนไขภายในวันเวลาที่กำหนด
แต่ถ้าเราไม่ทำตามเงื่อนไขภายในระยะเวลาที่กำหนด คอนโดฯ ที่เราจองไว้ก็จะถูกนำไปขายให้คนอื่น ซึ่งแนวคิดนี้ก็มีส่วนคล้ายคลึงกับ การถือสิ่งที่เรียกว่า “วอร์แรนท์”
หลายคนรู้จักและคุ้นเคยกับการซื้อขายหุ้น แต่ก็มีหลายคน อาจจะยังไม่รู้จักวอร์แรนท์ ทั้งที่ก็เคยได้ยินคำนี้มาบ่อยครั้ง
แล้ว วอร์แรนท์ คืออะไร ?
และทำไมบางบริษัทชอบออกตราสารประเภทนี้ให้กับผู้ถือหุ้น
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
วอร์แรนท์ คือ ตราสารที่ออกโดยบริษัทจดทะเบียน เพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือในการซื้อหลักทรัพย์ที่วอร์แรนท์นั้นอ้างอิงอยู่ (Underlying Asset) ซึ่งมีตั้งแต่หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ หุ้นกู้ หรือหน่วยลงทุน โดยจะกำหนดราคาใช้สิทธิ (Exercise Price) เอาไว้
ที่เราคุ้นเคยกัน หลักทรัพย์ที่มีวอร์แรนท์อ้างอิงมักเป็น หุ้นสามัญของบริษัทต่าง ๆ
โดยทั่วไป บริษัทจดทะเบียนมักจะแจกวอร์แรนท์ฟรีให้ผู้ถือหุ้นเดิม
ทั้งนี้ก็เพื่อดึงดูดใจให้มาใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มในอนาคต
โดยเงื่อนไข รายละเอียด หรือจุดสำคัญ ที่ผู้ถือวอร์แรนท์ต้องทำความเข้าใจให้ดี ๆ จะประกอบไปด้วย ราคาใช้สิทธิ, รายละเอียดการใช้สิทธิ, ระยะเวลาที่ใช้สิทธิได้ และอายุคงเหลือของวอร์แรนท์
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็เช่น
สมมติว่า เราเป็นเจ้าของธุรกิจร้านกาแฟและจดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้น ต่อมาคิดว่าอีก 3 ปีข้างหน้า เราต้องการใช้เงินทุนเพื่อขยายสาขาไปต่างประเทศ
ดังนั้น เราจึงต้องการออกวอร์แรนท์ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม
โดยกำหนดให้ อัตราส่วนหุ้นต่อวอร์แรนท์ที่จะได้รับ คือ 4:1, อัตราส่วนการแปลงสภาพ คือ 1:1, ราคาใช้สิทธิ 20 บาท ใช้สิทธิได้ปีละครั้ง และเริ่มใช้สิทธิได้ตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2564 ไปจนถึง 30 ธ.ค. 2568
ซึ่งในกรณีนี้สรุปได้ว่า
- ผู้ที่ถือหุ้นในธุรกิจร้านกาแฟของเรา ถ้าถือหุ้นอยู่ 4 หุ้นจะได้ 1 วอร์แรนท์
- ผู้ถือหุ้นสามารถใช้ 1 วอร์แรนท์ แปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญได้ 1 หุ้น โดยจ่ายเงินให้บริษัทเรา 20 บาท
- วอร์แรนท์มีอายุ 4 ปี โดยใช้สิทธิแปลงสภาพได้ปีละครั้ง โดยผู้ถือหุ้นจะเริ่มใช้สิทธิได้ครั้งแรก ในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 และครั้งสุดท้ายในวันที่ 30 ธ.ค. 2568
ทั้งนี้ เมื่อผู้ถือวอร์แรนท์มาใช้สิทธิในการแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ บริษัทจดทะเบียนที่ออกวอร์แรนท์ ก็จะได้เงินทุนเพิ่ม เพื่อมาใช้ในกิจการ ส่วนคนที่มาใช้สิทธิแปลงวอร์แรนท์เป็นหุ้นสามัญก็จะได้หุ้นเพิ่ม
อย่างไรก็ตาม มันยังมีอีกกรณีหนึ่ง
คือคนที่ถือวอร์แรนท์อยู่ อาจไม่เก็บวอร์แรนท์ไว้ใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญด้วยตัวเองก็ได้
เนื่องจากวอร์แรนท์นั้นสามารถนำไปขายเปลี่ยนมือในตลาดหุ้นได้ และราคาของวอร์แรนท์ในตลาด ในแต่ละช่วง ก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามหลาย ๆ ปัจจัย เช่น
1. ราคาสินค้าสินทรัพย์อ้างอิง
วอร์แรนท์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามราคาสินทรัพย์อ้างอิงที่สูงขึ้น และลดลงหากราคาหลักทรัพย์อ้างอิงนั้นลดลง
2. ราคาใช้สิทธิ เทียบกับราคา สินทรัพย์อ้างอิง
หากราคาใช้สิทธิ สูงกว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงมาก ๆ ก็จะทำให้ราคาของวอร์แรนท์นั้นต่ำ
เนื่องจากนักลงทุนมองว่า โอกาสที่ราคาของสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัวสูงกว่าราคาใช้สิทธินั้นมีน้อย ซึ่งหากเอาวอร์แรนท์นั้นไปใช้สิทธิแปลงเป็นหุ้นสามัญแล้วเอามาขาย ก็ย่อมขาดทุน
3. อายุคงเหลือของสัญญา
มูลค่าของวอร์แรนท์จะค่อย ๆ ลดลง ตามอายุคงเหลือของวอร์แรนท์ที่ลดลง และถ้าวอร์แรนท์ไม่ได้ถูกใช้สิทธิภายในเวลาที่กำหนด วอร์แรนท์นั้น “จะมีค่าเป็นศูนย์”
4. ความผันผวนของราคาสินทรัพย์อ้างอิง
ความผันผวนของระดับราคาสินทรัพย์อ้างอิง ยิ่งมีมากขึ้น จะส่งผลให้ราคาของวอร์แรนท์มีการเคลื่อนไหวผันผวนสูงตามไปด้วย
สำหรับคนที่มีวอร์แรนท์อยู่ในมือ
กรณีที่ราคาใช้สิทธิรวมกับราคาวอร์แรนท์แล้ว (กรณีที่ซื้อวอร์แรนท์มา) ต่ำกว่าราคาหุ้นที่อ้างอิงในตลาด ก็จะสามารถใช้สิทธิซื้อหุ้น และเอาหุ้นนั้นไปขายในตลาดทำกำไร ซึ่งวอร์แรนท์นั้นจะถือว่ามีมูลค่า หรือเรียกว่า “In-the money”
ในทางกลับกัน ถ้าราคาใช้สิทธิรวมกับราคาวอร์แรนท์ (กรณีที่ซื้อวอร์แรนท์มา) สูงกว่าราคาหุ้นอ้างอิงในตลาด ผู้ถือก็มักไม่ใช้สิทธิ เพราะไปซื้อหุ้นนั้นในตลาดได้ในราคาที่ถูกกว่า
วอร์แรนท์นั้น ก็จะถือว่าไม่มีมูลค่า หรือเรียกว่า “Out-of-the money”
โดยสิ่งที่ทำให้วอร์แรนท์ดึงดูดผู้ลงทุนคือ ความเป็น Leverage หรือที่หมายถึง การลงทุนที่ใช้เงินน้อยแต่มีโอกาสได้กำไรมาก โดยจำกัดความสูญเสียไว้ ซึ่งอย่างมากที่สุดก็คือ ต้นทุนที่ได้วอร์แรนท์มา
ซึ่งบางคนได้มาฟรี ๆ ก็อาจมองว่าไม่เสียหายอะไร
ส่วนผู้ที่ซื้อมาจากในตลาดอีกที แล้วใช้สิทธิไม่ทันหรือเลือกไม่ใช้สิทธิ ก็จะขาดทุนเท่าราคาที่ซื้อมา
ถึงตรงนี้ คำถามที่บางคนอาจสงสัยก็คือ แล้วถ้าบริษัทต้องการเงินทุนเพิ่ม ทำไมไม่เลือกที่จะขอเพิ่มทุนตรง ๆ จากผู้ถือหุ้น แต่กลับเลือกที่จะออกวอร์แรนท์
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า การเพิ่มทุนจะเกิดผลกระทบจาก Dilution Effect ในทันที ซึ่งเป็นผลมาจากการที่จำนวนหุ้นของบริษัทเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาต่อหุ้นปรับตัวลดลง
นอกจากนี้ ในช่วงเวลาที่สภาพตลาดหุ้นไม่ดี การเพิ่มทุนมักจะทำได้ยาก หรือถ้าบริษัทต้องการเพิ่มทุน บริษัทก็ต้องลดราคาขายหุ้นเพิ่มทุนลงมา
ซึ่งไม่เพียงแต่กระทบกับผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท แต่ยังทำให้บริษัทมีโอกาสได้เงินเพิ่มทุนน้อยกว่า ช่วงที่สภาพตลาดหุ้นคึกคัก ที่มีโอกาสขายหุ้นเพิ่มทุนได้ในราคาสูงกว่า
การออกวอร์แรนท์นั้น สามารถชะลอผลกระทบของ Dilution Effect เนื่องจากจำนวนหุ้นเพิ่มทุนจะยังไม่เพิ่มขึ้นทันที จนกว่าผู้ถือวอร์แรนท์จะมาใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญ และจะเกิดขึ้นภายในช่วงเวลาที่กำหนดไว้
นอกจากนี้ การออกวอร์แรนท์ ยังช่วยลดสัดส่วนหนี้สินต่อทุนของบริษัท หรือ Debt to Equity Ratio (D/E Ratio) เพราะเมื่อวอร์แรนท์ถูกใช้สิทธิแปลงสภาพ จะถูกบันทึกเข้ามาอยู่ในส่วนทุน ต่างจากกรณีที่บริษัทไปกู้ยืมเงินมา ซึ่งจะถูกบันทึกเป็นหนี้สิน
อ่านมาถึงตรงนี้ เราก็จะสรุปได้ว่า
วอร์แรนท์ เป็นตราสารที่ผู้ถืออาจได้มาฟรีหรือไม่ฟรีก็ได้
ในกรณีที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิม อาจได้รับวอร์แรนท์มาฟรี ๆ หรือพ่วงมากับการขอเพิ่มทุนในรอบก่อน ๆ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทที่แจกวอร์แรนท์ ถ้าอยากได้ ก็ต้องไปซื้อเอาจากคนที่เอามาขายต่อในตลาด
ส่วนคนที่มีวอร์แรนท์อยู่ในมือ ก็สามารถเลือกที่จะใช้สิทธิ หรือไม่ใช้สิทธิก็ได้ ตามเงื่อนไขที่กำหนดมา
สำหรับการออกวอร์แรนท์
ในแง่ของบริษัทที่ออกวอร์แรนท์ ต้องคาดการณ์มูลค่าเงินทุนที่บริษัทต้องการใช้ในอนาคต ให้สอดคล้องกับอายุของวอร์แรนท์ รวมไปถึงราคาใช้สิทธิ เพื่อลดผลกระทบด้าน Dilution Effect ให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท รวมทั้งนำเงินทุนที่ได้จากการแปลงสภาพไปสร้างผลตอบแทนให้เหมาะสม
ส่วนในแง่ของผู้ถือวอร์แรนท์ ก็ต้องศึกษารายละเอียดการใช้สิทธิแปลงสภาพ และเงื่อนไขต่าง ๆ ของวอร์แรนท์อย่างละเอียด โดยเฉพาะเรื่องของ อายุคงเหลือของวอร์แรนท์ และเข้าใจความเสี่ยงของการถือหรือลงทุนในวอร์แรนท์ให้ดี
เพราะเราอาจยังสามารถถือหุ้นอยู่ได้ เมื่อบริษัทเกิดปัญหาและราคาหุ้นปรับตัวลดลง ถ้าเชื่อว่าในอนาคตธุรกิจของบริษัทจะฟื้นตัวกลับมาจนทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น
แต่เราไม่สามารถถือวอร์แรนท์ไปได้ตลอด เพราะวอร์แรนท์มีอายุที่จำกัด
ซึ่งถ้าเราซื้อวอร์แรนท์นั้นมาในราคาสูง มันก็ทำให้เราขาดทุนหนักได้เช่นกัน..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.sec.or.th/TH/Pages/Investors/EquityProduct-Warrants01.aspx
-https://en.wikipedia.org/wiki/Warrant_(finance)
-https://www.drwealth.com/5-factors-affecting-the-price-of-warrants/
-https://sias.org.sg/beginners-guide/key-factors-that-determine-a-warrant-price/
-https://www.set.or.th/th/regulations/simplified_regulations/warrant_issue_p1.html
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
debt to asset ratio 在 Mohd Asri Facebook 的最佳解答
BUDGET 2014 : WISH LIST, EXPECTATION & STOCKS PLAY- by Dr. Nazri Khan.
As in the past, we generally expect a post-budget rally with FBMKLCI to trend towards 1850 levels after Budget 2014. We expect budget measures to arrest competitiveness and improve public finance to attract more investors confidence and foreign fund inflows back to Malaysia.
1. Generally, Budget 2014 should spur local market sentiment by introducing tough unpopular bold measures to boost trade competitiveness, improve fiscal credibility, address the recent downgrade by sovereign credit rating (such as Fitch Ratings) and encouraging stronger private sector participation to boost economic growth.
2. We expect Budget 2014 to focus on the implementation of subsidy rationalization programme (SRP), the implementation of services tax (GST) and extension of BR1M for the low income group.
3. Generally, investors do not believe there will be significant Corporate and Personal Income Taxes cut due to government fiscal constraint but more incentives will be given to lower income groups using a very focus and targeted approach.
4. As in the past, Budget 2014 should benefit construction sectors (especially those with low import content and high multiplier project owner). Higher multiplier such as MRT circle line 2 and 3, Southern Double Tracking and even the proposed Kuching-KK Pan Borneo Highway may kick-start but big ticket high import items like Kuala Lumpur-Singapore High Speed Rail and third interchange linking Johor and Singapore could be delayed.
5. As stated in General Election manifesto, there is a real possibility, Budget 2014 may launch National Healthcare Project (something like Australia's Medicare System and UK NHS) that will provide every Malaysian with access to quality healthcare. Healthcare stocks such as IHH, KPJ and TMC Life should benefit. Further, using Budget 2013 trend, Budget 2014 should again promote local tourism sector which means healthcare sector via medical tourism again will benefit.
6. The implementation of GST should benefit software providers. Stocks like DKSH, Censof and MyEG should win contracts while telcos that have been paying govt sales tax can now shift the tax burden to customers under GST. Hence, all three telcos Maxis, Axiata and DiGi will benefit.
7. Mass market consumer stocks (such as AEON and Parkson) however should benefit from government low income incentives such as higher BR1M, higher salary to qualify for BR1M (maybe raise to RM4000-RM5000 from currently RM3000), more KR1M (Kedai Rakyat 1 Malaysia) and cheaper house from affordable PR1MA homes.
8. Budget 2014 may grant more tax exemptions for hybrid and electric cars to encourage the usage of fuel efficient vehicles. This should benefit foreign hybrid cars markers such as Honda, Volskwagen, Toyota and Nissan.
9. Due to government focus on Islamic Finance, Takaful industry players should get more added incentives in 2014 to encourage bigger market share and more protection among Malaysian. Stocks going big into Takaful such as Takaful Malaysia, Allianz and MAA may benefit.
10. Due to Subsidy Rationalisation Programme (SRP), Budget 2014 should see more subsidy cuts which includes more increase in fuel prices (possibly additional 10 to 20 cents), more increase in gas & electricty power tariff as well as hikes in sugar prices. Such moves should generally be negative for consumer/glove stocks (retailers like Nestle, Amway and Dutchlady & gloves such as Hartalega, Kossan, Supermax who use gas and raw materials) while positive for utilities stocks such as Tenaga, YTLPower and GasMsia (due to lower inputs, more efficient energy consumption and better earning visibility).
11. Budget 2014 should impose higher sin tax to boost government revenue. Tobacco players such as BAT and JT International and possibly brewery such as Carlsberg and Guinness and even gaming players such as Genting and BJToto earning are expected to contract. Bear in mind, there is no tax hike for gaming counters since 1998, no take hike for brewery since 2007 and no take hike for cigarettes since 2010. Perhaps, there will be 3 cents extra tax per cigarrete stick and RM1.00 extra duties per litre of beer.
12. For Budget 2014, we believe banks and properties could be mildly affected by more government properties-cool-down and bad-debt-measures (involving house, property, automotive and personal loans). Softer retail/corporate loans are therefore expected due to higher stamp duty, foreign cap, tougher RPGT (real properties gains tax) and higher loan-to-value (LTV) ratio for property purchases and shorter the personal financing tenure.
13. Government will strive for Marhaen Budget (Rakyat) which generally should aims for :
(i) Close To Free Education - free high quality education for all citizens
(ii) Close To Free Healthcare - affordable and easy accessible quality medical care to all, rich
and poor alike
(iii) Affordable Housing - cheaper and comfortable for majority rakyat
(iv) Efficient Public transport - safer, cheaper, more efficient, reliable and comfortable for majority rakyat
(v) Security for citizens and their families with an accepted (perceived or otherwise) low crime rate.
14. Government will use creative ways to boost revenue without burdening rakyat. These may includes :
(i) Reduce foreign tax incentives - Remove tax incentives to foreign firms operating in this country which has low multiplier effect on economy (beverage, gaming & brewery).
(ii) Auction land - Government land should be auctioned to the highest bidder to gain maximum income in development of Government’s land
(iii) Auction licences - Licences for telco and television rights can also be auctioned to the highest bidder after a shorter fixed period to get more revenue
(iv) Sell concessions - government must not give companies (whether GLC or not) rights to operate a project (eg. power plant/highways for free)
(v) Curb smuggling - government should spend more on enforcement to reduce money lost on smuggled items especially on cigarettes, beers, petrol and rice
(vi) Cut procurement bureaucracy and costs - the Government must spend more to reduce bureaucratic tape especially in procurement so that higher saving can be made on resources and time awarding the contract
(vii) Reduce subsidising the rich corporate player - the government should overhaul and reduce subsidies for rich companies such as foreign automatives and IPP which benefit more than the rakyat
(vii) Impose tax on high end asset class - capital gains tax should be imposed more on high end income eg. gains from investments, property, antique asset sales, bond and stock markets.
15. Last but not least, oil and gas stocks should get positive catalyst. Due to depleting oil reserves, we expect government to encourage more participation in the downstream O&G industry which may include huge investment tax allowance for refinery activities to catalyse the downstream segment. This will also attract investors to participate in Pengerang Integrated Petroleum Complex to ensure its successful take-off. Petronas linked stocks such as Petronas Chemicals, Sapura Kencana, Uzma, Deleum, Perisai and others should benefit.
debt to asset ratio 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
debt to asset ratio 在 大象中醫 Youtube 的最佳貼文
debt to asset ratio 在 大象中醫 Youtube 的最佳解答
debt to asset ratio 在 Debt to Asset Ratio - Corporate Finance Institute 的相關結果
The debt to asset ratio, also known as the debt ratio, is a leverage ratio that indicates the percentage of assets that are being financed with debt. ... <看更多>
debt to asset ratio 在 Debt-to-asset ratio calculator | BDC.ca 的相關結果
Also known as debt asset ratio, it shows the percentage of your company's assets financed by creditors. Bankers often use the debt-to-asset ratio to see how ... ... <看更多>
debt to asset ratio 在 Total-Debt-to-Total-Assets Ratio Definition - Investopedia 的相關結果
Total-debt-to-total-assets is a measure of the company's assets that are financed by debt rather than equity. When calculated over a number of years, this ... ... <看更多>