รู้จัก Vinamilk ผู้ผลิตนมสัญชาติเวียดนาม ที่ใหญ่กว่า CPF /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า บริษัทนมที่ใหญ่ที่สุดในเวียดนามมีมูลค่ามากกว่า บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF ผู้ประกอบธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหารแบบครบวงจรในประเทศไทย
บริษัทนี้ชื่อว่า “Vinamilk” ที่น่าสนใจคือ
หนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Vinamilk คือบริษัทของคนไทยอีกด้วย
เรื่องนี้เป็นอย่างไร ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Vinamilk หรือชื่อเต็มคือ Vietnam Dairy Products Joint Stock Company ก่อตั้งขึ้นในปี 1976 โดยบริษัท Southern Coffee-Dairy ซึ่งเป็นบริษัทของรัฐบาลที่ไปซื้อกิจการมาจากบริษัทเอกชนอีกที
Vinamilk เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ปี 2003
โดยปัจจุบัน ผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ Vinamilk คือ
- กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของเวียดนาม (State Capital Investment Corporation) ถือหุ้นอยู่ 36.0%
- กลุ่มบริษัท F&N ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ถือหุ้นอยู่ 20.0%
- Jardine บริษัทโฮลดิงจากสิงคโปร์ ถือหุ้นอยู่ 10.6%
- ผู้ถือหุ้นรายย่อย ถือหุ้นอยู่ 33.4%
ก่อนหน้านี้ นักลงทุนต่างชาติที่สนใจลงทุนในหุ้น Vinamilk ไม่สามารถซื้อหุ้นของบริษัทได้ เนื่องจากติดข้อจำกัดการถือหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ (Foreign Holding Limit) ให้ถือได้ไม่เกิน 49%
ที่เป็นแบบนี้ เพราะรัฐบาลเวียดนามเกรงว่า ถ้านักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นจนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ อาจทำให้เข้ามามีอิทธิพลกับการดำเนินงานของบริษัทมากเกินไป
อย่างไรก็ตาม กฎเกณฑ์นี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้วในปี 2016 โดยอนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถเข้าถือหุ้นในบริษัทได้สูงสุด 100%
แต่ปัจจุบันผู้ถือหุ้นใหญ่สุดก็ยังเป็นกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของเวียดนามอยู่ดี
ปัจจุบัน Vinamilk ทำธุรกิจผลิตนมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนมรายใหญ่ที่สุดในเวียดนาม มีโรงงานผลิตนม และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง จำนวน 15 แห่ง กระจายอยู่ทั้งในเวียดนาม กัมพูชา และสหรัฐอเมริกา
สินค้าของบริษัทที่ผลิตออกมาขายนั้นมีมากกว่า 250 รายการ เช่น นมพร้อมดื่ม, นมผง, โยเกิร์ต, นมข้นหวาน, ครีมเทียมข้นหวาน, ไอศกรีม, ชีส, นมถั่วเหลือง
รู้ไหมว่า ผลิตภัณฑ์นมหลายชนิดของ Vinamilk ครองส่วนแบ่งในสัดส่วนที่สูงในเวียดนาม เช่น
โยเกิร์ต 83%
นมข้น 79%
นมเหลว 59%
นมผง 42%
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ Vinamilk มีความได้เปรียบในการทำธุรกิจคือ การที่บริษัททำธุรกิจผลิตนมและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับนม ครอบคลุม “ต้นน้ำถึงปลายน้ำ” โดยเริ่มตั้งแต่
- มีฟาร์มโคนมของตัวเอง รวมไปถึงการทำสัญญาซื้อขายนมจากฟาร์มจากเครือข่ายเกษตรกร
- มีโรงงานผลิตเป็นของตนเองหลายแห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- มีระบบกระจายสินค้าขนาดใหญ่ เพื่อช่วยให้วางขายได้หลายช่องทาง ตั้งแต่ร้านค้าปลีกดั้งเดิม ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ โรงแรม และร้านอาหาร
ปัจจุบัน สินค้าของบริษัทมีการส่งออกไปขายยังต่างประเทศถึง 55 ประเทศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทยด้วยที่ Vinamilk เริ่มเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2016
รายได้และกำไรของ Vinamilk
ปี 2018 รายได้ 73,600 ล้านบาท กำไร 14,300 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 79,000 ล้านบาท กำไร 14,800 ล้านบาท
ปี 2020 รายได้ 83,600 ล้านบาท กำไร 15,700 ล้านบาท
แม้ว่าปีที่ผ่านมา วิกฤติโควิด 19 จะทำให้เศรษฐกิจเวียดนามโตได้เพียง 2.9% ต่ำสุดในช่วงปี 2011-2020 แต่ทั้งรายได้และกำไรของบริษัทก็ยังสามารถเติบโตได้ประมาณ 6%
ซึ่งบริษัทก็ให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้บริโภคชาวเวียดนามให้ความใส่ใจต่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้เริ่มหันมาบริโภคนมและโยเกิร์ตกันมากขึ้น
อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ในปี 2019 ข้อมูลจาก Euromonitor ระบุว่าเวียดนาม เป็นประเทศที่คนบริโภคนมยังถือว่าอยู่ในอัตราต่ำ เมื่อเทียบกับอีกหลายประเทศ
- คนเกาหลีใต้ บริโภคนม 42.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- คนไทย บริโภคนม 33.5 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- คนมาเลเซีย บริโภคนม 25.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- คนจีน บริโภคนม 22.3 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
- คนเวียดนาม บริโภคนม 21.8 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
นอกจากนี้ อีกกุญแจดอกสำคัญที่ทำให้นักลงทุนหลายคนเชื่อว่าธุรกิจของ Vinamilk มีโอกาสเติบโต เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศที่คาดว่ายังเติบโตในระดับสูง
โดยข้อมูลจากธนาคารโลกระบุว่า เศรษฐกิจของเวียดนามจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.5-7.5% ต่อปี ตั้งแต่ปัจจุบันไปจนถึงปี 2030
เมื่อรวมกับการที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ
การดื่มและทานสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ
และตลาดผู้บริโภคของเวียดนาม ที่มีประชากรมากถึง 98 ล้านคน
ธุรกิจผลิตนมของ Vinamilk ก็ดูจะมีโอกาสให้เติบโต ได้อีกไม่น้อย
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ในปี 2015 มูลค่าบริษัท Vinamilk เท่ากับ 127,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบัน มูลค่าบริษัทของ Vinamilk เพิ่มขึ้นมาเป็น 250,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมาเกือบ 1 เท่าตัว
ทำให้ไม่เพียงแต่ Vinamilk ถือเป็นหนึ่งในบริษัทจดทะเบียน ที่มีขนาดใหญ่รายหนึ่งในตลาดหุ้นเวียดนาม
แต่ยังใหญ่กว่าหุ้นของบริษัท CPF ที่มีมูลค่า 220,000 ล้านบาท ในวันนี้..
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหุ้นตัวนี้ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.vinamilk.com.vn/en/investor-relations
-https://pitchbook.com/profiles/company/51388-93
-https://www.statista.com/statistics/1116885/vinamilk-market-share-of-dairy-products-by-type/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Vinamilk
-https://en.wikipedia.org/wiki/Jardine_Cycle_%26_Carriage
-https://forbesthailand.com/world/asia/%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%95%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%84%E0%B8%A3.html
-https://www.macrotrends.net/countries/VNM/vietnam/population-growth-rate
-https://www.worldometers.info/world-population/vietnam-population/
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過361萬的網紅Dan Lok,也在其Youtube影片中提到,Most People Ask, "Is It Too Late To Start YouTube In 2019?" Because A Lot Of YouTubers Aren't Doing YouTube Right. If You Want To Know The Right Way T...
instagram growth statistics 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
เวียดนาม ประเทศปราบเซียน ฟาสต์ฟูดทุกแบรนด์บนโลก /โดย ลงทุนแมน
Starbucks คือเชนร้านกาแฟอันดับหนึ่งที่ประสบความสำเร็จระดับโลก
ไม่ว่าแบรนด์นี้ จะไปทำธุรกิจที่ประเทศไหน
เราก็มักจะเห็นว่าแบรนด์นี้ กลายมาเป็นที่นิยมแทบทั้งนั้น
แต่จริง ๆ แล้ว Starbucks ไม่ได้ประสบความสำเร็จทุกประเทศ
และหนึ่งในประเทศที่บริษัทล้มเหลว ก็คือ “เวียดนาม”
นั่นก็เพราะประเทศเวียดนาม ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศ
ที่ส่งออกเมล็ดกาแฟมากเป็นอันดับสองของโลกแห่งนี้
มีวัฒนธรรมการดื่มกาแฟเฉพาะตัว อย่างเช่นกาแฟดำใส่ไข่แดงและกาแฟดำใส่นมข้น
และคนเวียดนามยังชื่นชอบเมล็ดกาแฟพันธุ์โรบัสตามากกว่าอะราบิกาที่เหล่าเแบรนด์ต่างประเทศเลือกใช้กัน
นอกจากตลาดร้านกาแฟ ที่แบรนด์ดังระดับโลกเข้าไปเจาะตลาดได้ยากแล้ว
ในประเทศเวียดนาม เชนร้านอาหารฟาสต์ฟูดชื่อดัง ก็ต้องเจอกับความท้าทายเช่นกัน
แล้วอะไรกัน ที่ทำให้เวียดนามกลายเป็นตลาดปราบเซียน ของแบรนด์ดังระดับโลก ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
หากเรามาดู ร้านอาหารฟาสต์ฟูดที่ครองส่วนแบ่งตลาดได้มากที่สุดในโลก
อันดับที่ 1 McDonald's ครองส่วนแบ่งตลาด 21.4%
อันดับที่ 2 KFC ครองส่วนแบ่งตลาด 2.8%
อันดับที่ 3 Subway ครองส่วนแบ่งตลาด 2.8%
เชนร้านอาหารสัญชาติอเมริกันเหล่านี้ เป็นที่นิยมในหลายประเทศ
หนึ่งในนั้นก็คือภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย
แต่นั่นไม่ใช่สำหรับในประเทศเวียดนาม
ปี 1997 KFC เป็นเชนฟาสต์ฟูดของสหรัฐอเมริกาเจ้าแรก
ที่เข้ามาเปิดสาขาในประเทศเวียดนาม
หลังจากผ่านไปได้ 10 ปี KFC ยังคงมีเพียง 10 สาขา
ปี 2011 Burger King ก็เข้ามาตีตลาดแห่งนี้เช่นกัน
โดยตั้งเป้าจะขยายให้ได้ 60 สาขาภายใน 5 ปี
แต่ 10 ปีผ่านไป กลับเปิดได้เพียง 13 สาขา
ปี 2014 McDonald's ได้เข้าร่วมท้าชิงในประเทศนี้ด้วย
ซึ่งภาพในวันแรกที่เปิดให้บริการ ก็ไม่ทำให้เสียชื่อแชมป์โลก
เพราะชาวเวียดนามต่างมาเข้าคิวอย่างล้นทะลัก เพื่อลองชิมแฮมเบอร์เกอร์ยี่ห้อดัง
โดย McDonald's ก็ตั้งเป้าจะเปิดสาขาให้ได้ 100 สาขาภายใน 10 ปี
แต่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งผ่านไปแล้ว 7 ปี กลับมีเพียง 23 สาขา
จากจำนวนสาขาที่คาดการณ์ไว้ของทุกแบรนด์ไม่เป็นไปตามกำหนด
คงพอเป็นเครื่องพิสูจน์ได้แล้วว่าการเข้ามาตีตลาดในเวียดนามของร้านฟาสต์ฟูดเหล่านี้ ทำได้ไม่ง่ายเลย
พอเรื่องเป็นแบบนี้ ทุกแบรนด์ต่างก็แก้เกมด้วยการปรับเมนูและรสชาติให้ถูกปากคนเวียดนามมากขึ้น
แต่ก็มีเพียง KFC ที่ทำได้สำเร็จ และขยายสาขาเพิ่มเติมจาก 10 สาขาจนมี 138 สาขาได้ในปัจจุบัน
ถ้าปัญหาคือรสชาติที่ไม่ค่อยถูกปาก แล้วเชนฟาสต์ฟูดสัญชาติเอเชีย
ที่วัฒนธรรมอาหารมีความใกล้เคียงกันมากกว่า สามารถครองใจชาวเวียดนามได้หรือไม่
เชนฟาสต์ฟูดจากเอเชียที่เป็นเจ้าตลาดในประเทศเวียดนาม มีอยู่ 2 แบรนด์
Jollibee เชนฟาสต์ฟูดจากประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมาเปิดสาขาแรกที่เวียดนามในปี 1996
Lotteria เชนฟาสต์ฟูดของ Lotte จากประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งเริ่มมีที่เวียดนามในปี 1998
เมื่อสรุปจำนวนสาขาในเวียดนามของเชนฟาสต์ฟูดชื่อดังเหล่านั้น
Lotteria มีจำนวน 151 สาขา
KFC มีจำนวน 138 สาขา
Pizza Hut มีจำนวน 100 สาขา
Jollibee มีจำนวน 97 สาขา
McDonald's มีจำนวน 23 สาขา
Burger King มีจำนวน 13 สาขา
จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ชนะของตลาดนี้ในด้านจำนวนสาขา
ก็คือเชนฟาสต์ฟูดจากเอเชียอย่าง Lotteria และ Jollibee
รวมไปถึง KFC ที่ปรับเมนูจนถูกปากชาวเวียดนามได้มากที่สุด
และ Pizza Hut ที่ดูแลโดยเครือ Yum! Brands เหมือน KFC
ถึงแม้จะเป็นผู้ชนะในการขยายสาขา
แต่พอเรามาดูผลประกอบการแล้ว
เกือบทุกแบรนด์จะประสบปัญหาการขาดทุน
เพราะแม้ว่ารายได้ของทั้ง Lotteria, Jollibee และ Pizza Hut จะเติบโตได้ดี
แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นทำกำไรได้และยังคงขาดทุนอย่างต่อเนื่อง
ก็จะมีเพียง KFC ที่ทำกำไรได้ แต่ถ้ามาดูความสำเร็จในการขยายสาขา
ที่ประเทศเวียดนาม ก็ยังถือว่าทำได้น้อยกว่าในประเทศอื่นที่เข้าไปลงทุน
เพราะเมื่อรวมจำนวนสาขาของทั้ง 6 แบรนด์ที่กล่าวมา จะมีทั้งหมด 522 สาขา
ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่น้อยมาก และถ้าถามว่าน้อยแค่ไหน ลองเทียบกับในประเทศไทย
ที่จำนวนสาขาของ KFC เพียงอย่างเดียว ก็มีมากกว่า 800 สาขาแล้ว
แล้วอะไรกันที่ทำให้ร้านฟาสต์ฟูดชื่อดังระดับโลก
ไม่สามารถครองใจชาวเวียดนามได้ ?
เหตุผลอย่างแรก อาหารพื้นเมืองของเวียดนาม มีความรวดเร็ว ในการปรุงอยู่แล้ว ดังนั้นฟาสต์ฟูดจึงอาจไม่จำเป็นสำหรับคนเวียดนาม
“เฝอ” หรือก๋วยเตี๋ยวสไตล์เวียดนาม และบั๊ญหมี่ หรือแซนด์วิชเวียดนาม
เป็นสตรีตฟูดที่ได้รับความนิยมสูงมาก และที่สำคัญคือใช้เวลาทำน้อยมากอยู่แล้ว
นั่นจึงทำให้จุดขายของเชนฟาสต์ฟูดในเรื่องความเร็ว จึงไม่สามารถดึงดูดชาวเวียดนามได้
เหตุผลอย่างที่สอง อาหารพื้นเมืองของเวียดนาม ราคาสบายกระเป๋ากว่า
ประชากรเวียดนาม ยังมีสัดส่วนของผู้มีรายได้ปานกลางถึงสูงอยู่ไม่มาก
แต่ราคาอาหารจากเชนฟาสต์ฟูดเหล่านี้ ไม่ได้สอดคล้องกับรายได้และค่าครองชีพ
ด้วยจำนวนเงินเท่ากัน จึงสามารถซื้ออาหารพื้นเมืองได้ในปริมาณที่มากกว่าหลายเท่า
เหตุผลอย่างที่สาม ชาวเวียดนามมีวัฒนธรรมการกินแบบ แชร์กันเป็นกลุ่ม
แม้เฝอและบั๊ญหมี่จะเป็นสตรีตฟูดที่ชาวเวียดนามชื่นชอบ แต่ก็ไม่ได้เป็นตัวเลือกประจำ
เพราะชาวเวียดนามนิยมไปทานอาหารกันเป็นกลุ่ม แชร์อาหาร และพูดคุยกัน
ซึ่งอาหารแบบฟาสต์ฟูดจะเป็นสไตล์ต่างคนต่างกินเสียมากกว่า
ซึ่งไม่เข้ากับวัฒนธรรมของชาวเวียดนาม
เหตุผลเหล่านี้ ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เชนฟาสต์ฟูดยักษ์ใหญ่ ไม่เป็นที่นิยมในเวียดนาม
ร้านอาหารในประเทศเวียดนาม ที่มีอยู่กว่า 540,000 ร้าน จึงเป็นร้านอาหารท้องถิ่นกว่า 80%
ซึ่งแนวโน้มเรื่องความนิยมของเชนฟาสต์ฟูดเหล่านี้ก็ยังคงเป็นขาลงอย่างต่อเนื่อง
โดยในช่วงปี 2016 ถึง 2018 จำนวนคนเวียดนามที่เข้าร้านฟาสต์ฟูดต่างชาติลดลง 31%
สวนทางกับจำนวนคนเข้าร้านอาหารท้องถิ่น ที่เพิ่มขึ้นถึง 70% ในช่วงเวลาเดียวกัน
และผลกระทบจากโควิด 19 ก็ยิ่งทำให้ผู้ประกอบการเชนฟาสต์ฟูดจากต่างชาติเหล่านี้
ต้องเจ็บหนักมากขึ้นไปอีก ขนาด Lotteria ที่มีจำนวนสาขามากที่สุด
ก็เผชิญผลขาดทุนอย่างหนัก จนมีข่าวว่าจะประกาศเลิกกิจการในประเทศเวียดนาม
แต่ในภายหลัง ผู้บริหารได้ออกมาปฏิเสธ
ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า
ผู้ประกอบการฟาสต์ฟูดระดับโลก จะฝ่าฟันวิกฤติ
และกลับมาสู้ต่อในตลาดปราบเซียน อย่างเวียดนามได้หรือไม่..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.cnbc.com/2018/09/13/mcdonalds-burger-king-vietnam-fast-food.html
-https://bettermarketing.pub/why-mcdonalds-failed-in-vietnam-35dc27edcaa
-https://www.t4.ai/industry/fast-food-market-share
-http://hanoitimes.vn/south-korean-fast-food-chain-expands-investment-in-vietnam-317084.html
-https://vietnamcredit.com.vn/news/vietnams-fast-food-market-three-market-leaders_14142
-https://e.vnexpress.net/news/business/industries/pizza-chains-post-double-digit-growth-4165125.html
-https://www.retailnews.asia/lotte-vietnam-denies-reports-it-will-close-lotteria-fast-food-chain/
-https://www.statista.com/statistics/1015000/vietnam-leading-fast-food-store-brands/
instagram growth statistics 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
วิกฤติประชากรจีน ทำให้เกิด นโยบาย "คลายกำเนิด" /โดย ลงทุนแมน
รู้ไหมว่า ในโลกเรานั้น ประชากรทุก ๆ 100 คน จะเป็นชาวจีน 18 คน
จึงทำให้จีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก
จนทำให้ครั้งหนึ่งรัฐบาลจีนเคยอนุญาตให้ชาวจีนส่วนใหญ่ มีลูกได้เพียงคนเดียว
แต่แล้วในปี 2016 รัฐบาลจีนก็จำเป็นต้องใช้นโยบาย “คลายกำเนิด”
เพื่อรณรงค์ให้ชาวจีนกลับมามีลูกกันอีกครั้ง
เพราะประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาประชากรเกิดใหม่ที่ลดลง
แล้วที่ผ่านมานโยบายนี้ได้ผลหรือไม่ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่มีประชากรมากกว่า 1,440 ล้านคน สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งถ้าถามว่า อะไรคือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้จำนวนประชากรจีนมีจำนวนสูงขนาดนี้ ก็อาจจะเป็นเพราะหลายปัจจัย ด้วยเหตุผลที่ประเทศจีนมีดินแดนกว้างใหญ่ มีพื้นที่เพาะปลูกอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงนโยบายในบางช่วงของประเทศ
ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1960s
ในสมัยนั้น เหมา เจ๋อตง อดีตประธานาธิบดี และผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์ของประเทศจีน ได้สนับสนุนให้ชาวจีนมีลูกมาก ๆ เพราะเขาเชื่อว่า ประเทศไหนที่มีประชากรมาก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโต
พอเรื่องเป็นแบบนี้ จำนวนประชากรของจีนจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจาก 667 ล้านคน ในปี 1960
กลายเป็น 818 ล้านคน ในปี 1970 หรือเพิ่มขึ้น 151 ล้านคน ในระยะเวลาแค่ 10 ปี
อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของประชากรจีน เริ่มนำมาซึ่งความกังวลเกี่ยวกับปัญหาวิกฤติประชากรล้น จนอาจนำไปสู่ปัญหาใหญ่ต่อไปในวันข้างหน้า นั่นก็คือ การขาดแคลนและแย่งชิงทรัพยากร
ขณะเดียวกันหนังสือที่มีชื่อว่า “The Limits to Growth” ที่ออกมาในปี 1972 ซึ่งเป็นหนังสือที่ได้รับการกล่าวถึงกันมากในสมัยนั้น ได้ตอกย้ำปัญหาเรื่องวิกฤติประชากรล้น
ใจความสำคัญในหนังสือนั้นสรุปได้ว่า “ด้วยทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่บนโลกจะไม่สามารถรองรับการเพิ่มขึ้นของประชากรได้ จนอาจทำให้ประชากรโลกประสบกับภาวะความอดอยากอย่างน่ากลัว”..
และสำหรับชาวจีนนั้น บาดแผลและฝันร้ายที่เคยเกิดขึ้นกับประเทศ อันเกิดจากภาวะอดอยากครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของจีน หรือ “Great Chinese Famine” ในช่วงปี 1959-1961 ยังคงไม่จางหายไป เพราะเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ชาวจีนจำนวนมากต้องอดอยากถึงขนาดมีการประเมินกันว่า จำนวนชาวจีนที่ต้องอดตายอาจสูงถึง 55 ล้านคน
รัฐบาลจีนในขณะนั้นที่นำโดยเติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศ จำเป็นต้องออกนโยบายลูกคนเดียว (One-Child Policy) ที่เริ่มถูกนำมาใช้ครั้งแรกในปี 1978
แม้ว่านโยบายดังกล่าวมีการผ่อนปรนให้แก่ชาวจีนได้ในบางกรณี เช่น ถ้าพ่อเป็นคนพิการ หรือลูกคนแรกเป็นผู้หญิง ครอบครัวนั้นก็สามารถมีลูก 2 คนได้
แต่อย่างไรก็ตาม ปัญหาการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรที่มากเกินไป ยังถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลจีนให้ความสำคัญ จึงทำให้มีการบังคับใช้นโยบายนี้อย่างจริงจังและเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็น
- มาตรการคุมกำเนิด ทั้งให้มีการทำแท้ง และการบังคับให้ทำหมัน
- พ่อและแม่คนไหนที่มีลูกมากกว่า 1 คน จะถูกไล่ออกจากงาน ตัดสวัสดิการต่าง ๆ ที่ควรได้
- ปรับเงินกับครอบครัวที่มีลูกมากกว่า 1 คน
- รวมไปถึงการให้เงินรางวัลแก่ครอบครัวที่มีลูกคนเดียว
ผลของการดำเนินนโยบายดังกล่าว ทำให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ของจีนค่อย ๆ ลดลง
ปี 1980-2000 จำนวนเด็กเกิดใหม่เฉลี่ยปีละ 21.2 ล้านคน
ปี 2001-2020 จำนวนเด็กเกิดใหม่เฉลี่ยปีละ 16.0 ล้านคน
ถึงแม้จะได้ผลเป็นอย่างดีในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เมื่อผ่านไป นโยบายนี้กลับเริ่มเป็นที่ถกเถียงกันมากขึ้น..
เนื่องจากสังคมจีนไม่เพียงแต่เริ่มมีสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุต่อประชากรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่จำนวนแรงงานในวัยทำงานก็เริ่มเข้าสู่วัยเกษียณ ทำให้สังคมจีนจะกลายเป็นสังคมที่แก่ก่อนรวย
ทั้งยังมีการประเมินกันว่า ภายในปี 2050 สัดส่วนประชากรที่มีอายุเกิน 65 ปี จะเท่ากับ 39% ของจำนวนประชากรทั้งหมดของจีน
ยังไม่รวมถึง ปัญหาการขาดแคลนแรงงานในอนาคต ที่จะส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจของจีนเอง และอาจกลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญที่ไม่อาจทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด
ในโลกแซงหน้าสหรัฐอเมริกา ในอนาคตอันใกล้
ในที่สุด ปี 2016 รัฐบาลจีนภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง จึงได้ตัดสินใจยกเลิกนโยบายดังกล่าว โดยอนุญาตให้ชาวจีนสามารถมีลูกได้ 2 คน ด้วยความหวังที่จะให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ของจีนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าเรามาดูจำนวนเด็กเกิดใหม่ของจีน ในช่วง 4 ปีย้อนหลัง จะพบว่า
ตัวเลขดังกล่าวยังมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่การยกเลิกนโยบายนี้
ปี 2017 จำนวนเด็กเกิดใหม่ของจีน 17.2 ล้านคน
ปี 2018 จำนวนเด็กเกิดใหม่ของจีน 15.2 ล้านคน
ปี 2019 จำนวนเด็กเกิดใหม่ของจีน 14.7 ล้านคน
ปี 2020 จำนวนเด็กเกิดใหม่ของจีน 10.0 ล้านคน
ทำให้ล่าสุดเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม ปี 2021 รัฐบาลจีนอนุญาตให้ชาวจีนมีลูกได้ 3 คน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้
การลดลงของจำนวนเด็กเกิดใหม่ทำให้ในวันนี้ จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบปัญหาการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่รวดเร็ว
และรุนแรงที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ถึงขนาดทำให้ทางการของจีนนั้นบอกว่า
“The biggest crisis the Chinese nation is facing” หรือวิกฤติที่ใหญ่ที่สุดที่จีนกำลังเผชิญอยู่
และเรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นว่า การยกเลิกนโยบายลูกคนเดียวอาจไม่ใช่ทางออกที่ใช่สำหรับความท้าทายที่จีนกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้
แล้วทำไมชาวจีนถึงมีลูกน้อยลง แม้นโยบายลูกคนเดียวจะถูกยกเลิกไปแล้ว ?
ที่เป็นแบบนี้ เนื่องจากชาวจีนมองว่า ค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูลูกนั้นสูงขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกับอดีต หรือพูดอีกอย่างก็คือ การมีลูกจะทำให้พ่อแม่ยุคใหม่มีภาระทางการเงินมากขึ้น
อีกประเด็นก็คือ การเพิ่มขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ของจีนโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งเกิดขึ้นอย่างชัดเจน หลังจากวิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ตั้งแต่ปี 2008 เมื่อรัฐบาลจีนได้อัดฉีดเม็ดเงินมหาศาลเพื่อกระตุ้นภาคธุรกิจต่าง ๆ หนึ่งในนั้นคือ ภาคอสังหาริมทรัพย์ จนทำให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ปรับตัวขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ซึ่งเรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่นักเศรษฐศาสตร์ของจีนระบุว่า คือ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ สังคมจีนต้องการที่จะมีลูกน้อยลง เพราะชาวจีนรุ่นใหม่ ๆ มองว่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่แพงจะเป็นอุปสรรคในการสร้างครอบครัว เมื่อตัวเองต้องมีลูก
ดังนั้น พวกเขาจึงนิยมเลือกที่จะเช่าอะพาร์ตเมนต์หรือคอนโดมิเนียมแล้วอยู่ตามลำพังดีกว่า
ดูเหมือนว่านโยบาย “คลายกำเนิด” ของจีนที่ถูกนำมาใช้เพื่อมาช่วยเพิ่มจำนวนประชากร อันจะเป็นกำลังหลักสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนให้สามารถเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง ยังไม่ใช่คำตอบที่ใช่เพื่อมาช่วยแก้ปัญหาจำนวนเด็กเกิดใหม่ของจีนที่ยังลดลง อย่างน้อยก็ในตอนนี้..
ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า แนวทางในการแก้ปัญหานี้ของจีน ไม่ว่าจะเป็น นโยบายการเปิดรับแรงงานต่างชาติ การใช้เครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงาน รวมไปถึงพึ่งพาปัญญาประดิษฐ์ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันมากขึ้น จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน ?
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ สถาบันสังคมศาสตร์แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
คาดว่า จำนวนประชากรของจีนจะมีจำนวนสูงสุดในปี 2029 ที่ 1,464 ล้านคน และจะลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น และเหลือเพียง 1,295 ล้านคน ในปี 2065
เท่ากับว่าจำนวนชาวจีนจะลดลงเกือบ 170 ล้านคนในระยะเวลา 36 ปี..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-https://www.worldometers.info/world-population/china-population/
-https://www.statista.com/statistics/250650/number-of-births-in-china/
-https://www.reuters.com/world/china/chinas-births-may-fall-below-10-million-annually-next-five-years-expert-quoted-2021-04-19/
-https://en.wikipedia.org/wiki/One-child_policy
-https://en.wikipedia.org/wiki/The_Limits_to_Growth
-https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Chinese_Famine
-https://en.wikipedia.org/wiki/Aging_of_China
-https://www.the101.world/chinese-new-gen-no-child/?fbclid=IwAR3gPDegG9HuMMmGap2G2cyzFSmchQV9tMXUU7Rdo8HZEM1NJHQELZQG8lI
-http://www.realinstitutoelcano.org/wps/portal/rielcano_en/contenido?WCM_GLOBAL_CONTEXT=/elcano/elcano_in/zonas_in/cooperation+developpment/ari62-2009
-https://www.populationpyramid.net/china/2019/
-https://www.reuters.com/world/china/china-says-each-couple-can-have-three-children-change-policy-2021-05-31/
instagram growth statistics 在 Dan Lok Youtube 的精選貼文
Most People Ask, "Is It Too Late To Start YouTube In 2019?" Because A Lot Of YouTubers Aren't Doing YouTube Right. If You Want To Know The Right Way To Do YouTube Click Here: http://youtube2019.danlok.link
Is it too late to start YouTube in 2019? Find out the truth and what Dan Lok has to say about it.
? SUBSCRIBE TO DAN'S YOUTUBE CHANNEL NOW ?
https://www.youtube.com/danlok?sub_confirmation=1
Check out these Top Trending Playlists -
1.) Boss In The Bentley: https://www.youtube.com/playlist?list=PLEmTTOfet46OWsrbWGPnPW8mvDtjge_6-
2.) Sales Tips That Get People To Buy - https://www.youtube.com/watch?v=E6Csz_hvXzw&list=PLEmTTOfet46PvAsPpWByNgUWZ5dLJd_I4
3.) Dan Lok’s Best Secrets - https://www.youtube.com/watch?v=FZNmFJUuTRs&list=PLEmTTOfet46N3NIYsBQ9wku8UBNhtT9QQ
Dan Lok is a Chinese-Canadian business magnate and global educator. Mr. Lok is leading a global education movement spanning across 120+ countries where Mr. Lok has taught millions of men and women to develop high income skills, unlock true financial confidence and master their financial destinies.
Beyond his success in business, Mr. Lok was also a two times TEDx opening speaker. An international best-selling author of over a dozen books. And the host of The Dan Lok Show – a series featuring billionaire tycoons and millionaire entrepreneurs.
Today, Mr. Lok continues to be featured in hundreds of media channels and publications every year and is widely seen as one of the top business leaders by millions around the world.
★☆★ CONNECT WITH DAN ON SOCIAL MEDIA ★☆★
Podcast: http://thedanlokshow.danlok.link
Instagram: http://instagram.danlok.link
YouTube: http://youtube.danlok.link
Linkedin: http://mylinkedin.danlok.link
#DanLok #TooLate #YouTube
Please understand that by watching Dan’s videos or enrolling in his programs you’ll get results close to what he’s been able to do (or do anything for that matter).
He’s been in business for over 20 years and his results are not typical.
Most people who watch his videos or enroll in his programs get the “how to” but never take action with the information. Dan is only sharing what has worked for him and his students.
Your results are dependent on many factors… including but not limited to your ability to work hard, commit yourself, and do whatever it takes.
Entering any business is going to involve a level of risk as well as massive commitment and action. If you're not willing to accept that, please DO NOT WATCH DAN’S VIDEOS OR SIGN UP FOR ONE OF HIS PROGRAMS.
This video is about Is It Too Late To Start Youtube In 2019?
https://youtu.be/0m8PyQhyVYQ
https://youtu.be/0m8PyQhyVYQ