Chefchaouen / Morocco
เมืองสีฟ้าที่งามที่สุดในโลก
การเดินทาง สายการบิน Turkish airlines บินตรงลงท่าอากาศยานนานาชาติ Istanbul Ataturk Airport จากนั้นต่อเครื่องไปลง Mohammed V International Airport ใน Casablanca แล้วจึงต่อรถบัสไปลงที่ Chefchaouen
ทำไมต้องไปเยือน
เมื่อผู้คนพูดถึงโมรอคโค ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกไปถึงเมืองชื่อดังอย่างมาราเกซ หรือคาซาบลังก้า ไม่ก็มองข้ามไปที่การท่องเที่ยวค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่ากันเลย แต่ทางตอนตะวันออกเหนือของประเทศที่หลาย ๆ คนไม่ค่อยได้ไปเยือน มีเมืองอยู่แห่งหนึ่งที่อุดมไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวซ่อนอยู่ท่ามกลางเทือกเขา rif นั่นก็คือเมืองสีฟ้านามว่าเชฟชาอูนนั่นเอง
เชฟชาอูนเป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่โต มีประชากรรวมทั้งบริเวณเขตรอบนอกอยู่ที่ราว 40,000 คน ถึงปัจจุบันจะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่หรือเมืองการค้าหลัก แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วที่นี่ถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศเลยทีเดียว เพราะก่อตั้งมากว่า 500 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1471 โดยในตอนแรกเมืองถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการฐานที่มั่นของชาวยิวและชาวมัวร์ที่ถูกขับไล่มาจากเสปน จากนั้นที่นี่ก็ถูกตั้งให้เป็นฐานที่มั่นเพื่อรับผู้อพยพมาจากเสปนเรื่อยมา
ที่จริงแค่ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ก็เพียงพอให้เป็นเมืองที่ควรค่าแก่การมาเยือนแล้ว แต่ในปี 1930 เมืองนี้ก็ยิ่งเพิ่มความพิเศษมากยิ่งขึ้น เมื่อชาวเมืองลงมติให้ย้อมสีของทั้งเมืองเป็นสีฟ้าสดใส สำหรับเหตุผลนั้นก็มีหลากหลายแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน บ้างก็ว่าทาตามความเชื่อในแบบยิวที่นับถือสีฟ้าเป็นสีของเทพเจ้า บ้างก็บอกว่าเป็นสีของท้องฟ้าและน้ำทะเล บางคนก็บอกว่าไม่มีความหมายอะไรหรอก แค่สวยดี แต่จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่บ้านเรือนทุกหลัง รวมถึงกำแพงและพื้นถนนถูกระบายด้วยสีฟ้า น้ำเงินไปทั้งเมือง เป็นที่มาของชื่อเล่นว่า เมืองไข่มุกสีฟ้า นั่นเอง
ภายในเมืองมีมัสยิดอยู่หลายแห่งรวมถึงจุดชมวิวสวย ๆ ที่ต้องออกแรงเดินขึ้นเขาไปประมาณครึ่งชั่วโมงไปที่บริเวณมัสยิด Mosquée Bouzâafar จากตรงนั้นสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองจากมุมสูงได้อย่าเต็มตา โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ตก จะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายอยู่รอบบริเวณมัสยิด รับรองว่าคึกคักไม่เปลี่ยวแน่นอน บางคนก็รอกันจนฟ้ามืดเพื่อชมเมืองสีฟ้าช่วงค่ำคืนกันเลยทีเดียว
ถ้ามาที่นี่อยากแนะนำให้พักบริเวณเมืองเก่าจะดีที่สุด เพราะสามารถเดินเที่ยวภายในเมืองสีฟ้าได้อย่างเต็มอิ่ม ตัวเมืองเก่าขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก สามารถเดินได้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าหากจะไปที่สถานีรถบัสอาจจะต้องใช้บริการรถTaxi ซึ่งก็ราคาไม่ได้แพงมาก ประมาณรอบละ 50-80 บาทเท่านั้น
ด้วยความที่เคยเป็นเมืองป้อมปราการมาก่อน ตัวเมืองจึงมีลักษณะเป็นเนินสูงชัน บ้านเรือนก็อยู่สูงไต่ระดับตามเนินไปเรื่อย ๆ ใครพักอยุ่สูงหน่อยก็ต้องลากกระเป๋าไกลหน่อย หรือจะเรียกให้โรงแรมมารับก็ได้ แล้วให้ทิปค่าเหนื่อยคนที่มาช่วยยกกระเป๋าเสียหน่อยก็โอเค ที่ด้านล่างของเมืองเก่าเป็นตลาดกลางเมือง สถานที่รวมของนักท่องเที่ยวนานาชาติ มีร้านอาหารเปิดอยู่มากมาย รวมถึงร้านของที่ระลึกต่าง ๆ ด้วย
กิจกรรม
โดนปกติการไปเที่ยวที่นี่กิจกรรมหลักก็ไม่พ้นเดินเล่นภายในตัวเมืองสีฟ้า ถ่ายรูปเก๋ ๆ ซึ่งมุมถ่ายรูปมีมากมายนับไม่ถ้วน รับรองว่าถ่าย 2-3 วันก็ไม่หมด ภายในเมืองมีร้านอาหารน่าสนใจหลายร้านเลย ควรลองอาหารพื้นเมืองชื่อดังอย่างทาจิน เป็นเนื้อสัตว์อบหม้อดินพร้อมกับสมุนไพรแบบโมรอคโค รสชาติจัดจ้านอร่อยมาก ๆ หรือจะลองชีสนมแพะที่มีเฉพาะที่นี่ก็ได้ กินแกล้มกับน้ำผลไม้อร่อยเหมือนกัน
ช่วงเวลาที่ควรไป
เนื่องจากเป็นประเทศในแถบแห้งแล้งและแดดจัด ควรไปเยือนในช่วงฤดูที่อากาศเย็นหน่อยจะดีกว่า ตั้งแต่ราวเดือนกันยายนถึงเดือนเมษายน อากาศยังเย็นสบาย สามารถเดินเที่ยวได้อย่างไม่เสียอารมณ์ ไม่ต้องคอยหลบแดดเป็นพัก ๆ
ภาษา โมร็อคคัน อารบิค
หน่วยเงิน Moroccan dirham (MAD)
เวลา ช้ากว่าไทย 7 ชั่วโมง
วีซ่า โมรอคโค
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「mohammed v airport」的推薦目錄:
- 關於mohammed v airport 在 TravelKanuman / คา นู แมน 2เท้าชาวท่องโลก Facebook 的最佳貼文
- 關於mohammed v airport 在 แบกเป้ พาเพื่อนเที่ยวยุโรป Facebook 的最讚貼文
- 關於mohammed v airport 在 TravelKanuman / คา นู แมน 2เท้าชาวท่องโลก Facebook 的最讚貼文
- 關於mohammed v airport 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於mohammed v airport 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於mohammed v airport 在 大象中醫 Youtube 的最佳貼文
mohammed v airport 在 แบกเป้ พาเพื่อนเที่ยวยุโรป Facebook 的最讚貼文
Route: โมร็อกโก & Sahara 8 ว้น (7 คืน)/1,250 €
คุณกำหนดวันเดินทางเองได้เลย (ช่วงตุลาคม-มีนาคม)
# เที่ยวเมือง Marakech เมืองหลวงแห่งการท่องเที่ยวของโมร็อกโก เมืองนี้เป็นเมืองต้นตำรับของการบุกเบิกท่องเที่ยวแอฟริกาเหนือในยุค 1960 ของบรรดาฮิปปี้ และเป็นเมืองที่คนมาท่องเที่ยวมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ เป็นเมืองที่ให้ความรู้สึกลึกลับชวนพิศวงตามสไตล์การเที่ยวโมร็อกโก เยี่ยมชมเขตเมืองเก่า Medina ที่มีกำแพงเมืองยาวล้อมรอบ ประกอบด้วยสถานที่สำคัญมากมาย รวมทั้งตลาด, ย่านการค้า, ป้อมปราการ, มัสยิด Koutoubia Mosque, โรงเรียนสอนศาสนา และชุมชนชาวยิว และจตุรัสกลางเมืองเก่าที่มีชื่อเสียงที่สุด Jemaa el-Fna ซึ่งในปี ค.ศ. 1985 ได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าของ Marakech เป็นมรดกโลกทางด้านประวัติศาสตร์โดยองค์การ UNESCO
+ เยี่ยมชมพระราชวัง Bahia ซึ่งสร้างในปลายศตวรรษที่ 19 โดย Si Moussa ออกแบบเป็นแนวสมัยใหม่ โดยที่ตั้งใจจะให้เป็นพระราชวังที่ยิ่งใหญ่และหรูหราที่สุดในสมัยนั้น แต่ด้วยความที่มีการวางแผนก่อสร้างและตกแต่งอย่างเร่งรีบ จึงเป็นที่วิจารณ์กันว่ารายละเอียดหลายๆ อย่างในพระราชวังแห่งนี้ยังไม่สมบูรณ์ลงตัว พระราชวังมีการตกแต่งโดยการแกะสลักปูน Stucco มีการวาดลายบนไม้ และประดับประดาด้วยโมเสกสวยงาม
+ เยี่ยมชมโรงเรียนเก่าแก่อัลกุรอ่าน เป็นตัวอย่างแบบศิลปะอันยอดเยี่ยมที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมอิสลาม Ben Joesoef ผู้ปกครองจากปี ค.ศ. 1106-1142 อาคารหลังนี้เริ่มสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1570 และบูรณะในปี ค.ศ. 1950 มีห้องเรียนประมาณ 130 ห้อง ตั้งเรียงรายอยู่รอบๆ ลานกว้างตกแต่งอย่างหรูหราด้วยหินอ่อน, กระเบื้องโมเสก และเครื่องประดับ โรงเรียนแห่งนี้ได้พัฒนาให้เป็นหนึ่งในโรงเรียนสอนศาสนาที่สำคัญที่สุดในโลกของศาสนาอิสลาม
+ เที่ยวเมือง Fes เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่บนพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่ต่อจากเทือกเขา Rif Mountain ทางตอนเหนือกับเขตเทือกเขา Middle Atlas มีแม่น้ำ Fes River ไหลผ่านกลางเมือง เป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของโมร็อกโก สร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ Idrisid Dynasty ซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของประเทศโมร็อกโก เยี่ยมชมเขตเมืองเก่า Medina, ประตูสีฟ้า Blue Gate ซึ่งสร้างตามแบบสถาปัตยกรรมของศิลปะอิสลาม, พระราชวัง Fes และเยี่ยมชมบ่อย้อมสีเครื่องหนังของเมือง Fes
+ เที่ยวเมือง Meknes เป็นเมืองหลวงโบราณในสมัยสุลต่าน Mouley Ismail แห่งราชวงศ์ Alawite Dynasty กษัตริย์จอมโหดผู้ชื่นชอบการทำสงครามในศตวรรษที่ 17 ด้วยทำเลที่ตั้งมีแม่น้ำไหลผ่านกลางเมือง Meknes จึงเป็นเมืองศูนย์กลางการผลิตมะกอก ไวน์ และพืชพรรณต่างๆ เยี่ยมชมเขตเมืองเก่า Medina, กำแพงเมือง Bab Mansour Monumental Gate ล้อมรอบเมืองเก่าที่ยาวประมาณ 40 กิโลเมตร ซึ่งมีประตูเมืองใหญ่โตถึง 7 ประตู ประตูที่ได้ชื่อว่าสวยที่สุดตกแต่งด้วยโมเสดและกระเบื้องสีเขียวบนผนังสีแสด
+เที่ยวเมือง Rabat มีประวัติศาสตร์อันยาวนานย้อนไปตั้งแต่สมัยก่อนโรมัน เมืองหลวงแห่งราชอาณาจักรมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1956 ครั้งเมื่อโมร็อกโกหลุดพ้นจากการเข้าแทรกแซงทางการเมืองของฝรั่งเศส และเป็นที่ตั้งของพระราชวังหลวง, ทำเนียบทูตานุทูตจากต่างแดน เป็นเมืองสีขาวที่สะอาดสวยงาม และในปี ค.ศ. 2012 ได้ประกาศให้เขตเมืองเก่าของ Rabat เป็นมรดกโลกทางด้านประวัติศาสตร์จากองค์การ UNESCO เยี่ยมชมเขตเมืองเก่า Medina อาคารบ้านเรือนสีสันทาด้วยสีฟ้า, ป้อมไอดูยะ ป้อมขนาดใหญ่ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก ล้อมรอบด้วยกำแพงสูงใหญ่, สุสานกษัตริย์โมฮัมเหม็ดที่ 5 พระอัยกาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน ซึ่งมีทหารยามยืนเฝ้างามสง่าทุกประตู และเปิดให้คนทุกชาติทุกศาสนาเข้าไปเคารพพระศพที่ฝังอยู่เบื้องล่าง ด้านหน้าของสุสานหรือสุเหร่าฮัสซันที่เริ่มสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 แต่ไม่สำเร็จ จนกระทั่งพังทลายลงเหลือแต่เพียงเสาไว้ 365 ต้น ในบริเวณกว้าง 183x139 เมตร
+ เที่ยวเมือง Casablanca เมืองท่าใหญ่อันดับหนึ่งของราชอาณาจักรโมร็อกโก ที่มีอาคารบ้านเรือนสีขาวสลับกับต้นปาล์มปลูกเป็นแนวแถวยาวตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก เมืองอาหรับที่ทันสมัยและมีกลิ่นอายของทวีปยุโรป เป็นเมืองชื่อดังจากภาพยนตร์เรื่อง Casablanca (สร้างปี ค.ศ.1942) แม้ว่าในความเป็นจริงภาพยนตร์ดังกล่าวไม่ได้ใช้ฉากสถานที่ถ่ายทำในเมือง Casablanca เลย แต่ก็ทำให้เมืองแห่งนี้มีชื่อเสียงดังไปทั่วโลกได้เช่นกัน
+ เที่ยวเมือง Ouarzazate อยู่ทางตอนใต้ของประเทศโมร็อกโก ชมทิวทัศน์อันยอดเยี่ยมของเทือกเขา High Atlas และหมู่บ้าน Berber villages เป็นดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่า “ ประตูสู่ทะเลทราย "
+ เที่ยวเมือง Aït Benhaddou ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO ตั้งอยู่บนเนินเขาตามแนวแม่น้ำ Ouarzazate River และจุดชมวิวเริ่มต้นจากปราสาท Taourirt Kasbah เป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งสถาปัตยกรรมโมร็อกโกภาคใต้ อยู่ท่ามกลางสวนอัลมอนด์ ซึ่งเคยใช้เป็นฉากสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์มากกว่า 20 เรื่องด้วยกัน เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Lawrence of Arabia, Jesus of Nazareth และ Gladiator
+ เที่ยวเมือง Merzouga ลัดเลาะขอบทะเลทรายสู่เขต Sahara ผ่านชมทัศนียภาพอันยิ่งใหญ่ของภูเขาหินที่เต็มไปด้วยซากฟอสซิลของหอยและแมงกะพรุนโบราณในอดีตเมื่อ 350 ล้านปีก่อน ซึ่งดินแดนแห่งนี้เคยอยู่ใต้ท้องทะเลมาก่อน จึงเป็นที่กำเนิดของซากฟอสซิลต่างๆ และนั่งอูฐเดินทางข้ามทะเลทราย Sahara ไปดูพระอาทิตย์ตกดิน ทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลทราย และช่วงค่ำชมการเล่นดนตรีพื้นเมืองในค่ายเต็นท์อูฐ Nomad แบบดั้งเดิม
+ ตื่นแต่เช้าขี่อูฐไปชมพระอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้า สนุกสนานกับการขี่อูฐซึ่งเป็นสัตว์สัญลักษณ์แห่งทะเลทราย และสัมผัสความละเอียดของเม็ดทราย ทัศนียภาพอันแสนงดงามของแสงอาทิตย์ยามเช้าตัดกับพื้นผิวและลวดลายของท้องทะเลทรายที่งดงาม Sahara เป็นทะเลทรายขนาดใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นบริเวณแห้งแล้งใหญ่สุดเป็นอันดับสามรองจากทวีปแอนตาร์กติกาและอาร์กติก มีเนื้อที่มากกว่า 9,000,000 ตารางกิโลเมตร
.......................................
# ค่าใช้จ่ายประกอบไปด้วย
(ห้องพักส่วนตัว+ห้องน้ำ)
- ค่าที่พัก Hotel @ประเทศโมร็อกโก
- ค่าที่พักในค่ายเต็นท์ 1 คืน
- ค่าบัตรเข้าชมพระราชวัง Bahia
- ค่าบัตรเข้า Ben Joesoef Madrassa
- ค่าทางเข้าบ่อย้อมสีเครื่องหนัง
- ค่าขี่อูฐ
- ค่าเดินทางท่องเที่ยวต่างๆ รถไฟ รถเมล์ รถบัส
- ค่าพาไปเที่ยว
- ค่าบริการอื่นๆ
.............................................
หมายเหตุ: ค่าใช้จ่ายนี้ไม่ได้รวม
- ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับประเทศไทย
- ค่า Visa โมร็อกโกและประกันการเดินทาง
- ค่าอาหาร
.......................................................................
# สมาชิกเริ่มต้น 4 คน ออกท่องเที่ยวได้เลยตามราคาที่แจ้งไว้แล้ว
- เรายืนรอรับคุณที่สนามบินและพาส่งกลับจากสนามบิน Casablanca Mohammed V International Airport Morocco
- เราทำเอกสารการสำรองที่พักและตารางการเดินทางให้เพื่อใช้ยื่นประกอบคำร้องการขอวีซ่า
- สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาส่ง message/inbox
( ปล. หรือคุณกำหนดทริปเอง กำหนดประเทศและจำนวนวันตามที่คุณต้องการ จากนั้นเราจะวางแผนโปรแกรมท่องเที่ยวและนำเสนอราคาเพื่อคุณนำไปพิจารณาตัดสินใจกัน / เรารับจ้างจัดทริปพาท่องเที่ยวทั่วทุกประเทศใน Europe & UK )
mohammed v airport 在 TravelKanuman / คา นู แมน 2เท้าชาวท่องโลก Facebook 的最讚貼文
Chefchaouen / Morocco เมืองสีฟ้าสุดจินตนาการ
ภาษา โมร็อคคัน อารบิค
หน่วยเงิน Moroccan dirham (MAD)
เวลา ช้ากว่าไทย 7 ชั่วโมง
วีซ่า โมรอคโค
การเดินทาง สายการบิน Turkish airlines บินตรงลงท่าอากาศยานนานาชาติ Istanbul Ataturk Airport จากนั้นต่อเครื่องไปลง Mohammed V International Airport ใน Casablanca แล้วจึงต่อรถบัสไปลงที่ Chefchaouen
ทำไมต้องไปเยือน
เมื่อผู้คนพูดถึงโมรอคโค ส่วนใหญ่ก็มักจะนึกไปถึงเมืองชื่อดังอย่างมาราเกซ หรือคาซาบลังก้า ไม่ก็มองข้ามไปที่การท่องเที่ยวค้างแรมในทะเลทรายซาฮาร่ากันเลย แต่ทางตอนตะวันออกเหนือของประเทศที่หลาย ๆ คนไม่ค่อยได้ไปเยือน มีเมืองอยู่แห่งหนึ่งที่อุดมไปด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวซ่อนอยู่ท่ามกลางเทือกเขา rif นั่นก็คือเมืองสีฟ้านามว่าเชฟชาอูนนั่นเอง
เชฟชาอูนเป็นเมืองขนาดไม่ใหญ่โต มีประชากรรวมทั้งบริเวณเขตรอบนอกอยู่ที่ราว 40,000 คน ถึงปัจจุบันจะไม่ได้เป็นเมืองใหญ่หรือเมืองการค้าหลัก แต่ตามประวัติศาสตร์แล้วที่นี่ถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศเลยทีเดียว เพราะก่อตั้งมากว่า 500 ปีแล้ว ตั้งแต่ปี 1471 โดยในตอนแรกเมืองถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นป้อมปราการฐานที่มั่นของชาวยิวและชาวมัวร์ที่ถูกขับไล่มาจากเสปน จากนั้นที่นี่ก็ถูกตั้งให้เป็นฐานที่มั่นเพื่อรับผู้อพยพมาจากเสปนเรื่อยมา
ที่จริงแค่ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ก็เพียงพอให้เป็นเมืองที่ควรค่าแก่การมาเยือนแล้ว แต่ในปี 1930 เมืองนี้ก็ยิ่งเพิ่มความพิเศษมากยิ่งขึ้น เมื่อชาวเมืองลงมติให้ย้อมสีของทั้งเมืองเป็นสีฟ้าสดใส สำหรับเหตุผลนั้นก็มีหลากหลายแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน บ้างก็ว่าทาตามความเชื่อในแบบยิวที่นับถือสีฟ้าเป็นสีของเทพเจ้า บ้างก็บอกว่าเป็นสีของท้องฟ้าและน้ำทะเล บางคนก็บอกว่าไม่มีความหมายอะไรหรอก แค่สวยดี แต่จะเหตุผลอะไรก็แล้วแต่บ้านเรือนทุกหลัง รวมถึงกำแพงและพื้นถนนถูกระบายด้วยสีฟ้า น้ำเงินไปทั้งเมือง เป็นที่มาของชื่อเล่นว่า เมืองไข่มุกสีฟ้า นั่นเอง
ภายในเมืองมีมัสยิดอยู่หลายแห่งรวมถึงจุดชมวิวสวย ๆ ที่ต้องออกแรงเดินขึ้นเขาไปประมาณครึ่งชั่วโมงไปที่บริเวณมัสยิด Mosquée Bouzâafar จากตรงนั้นสามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองจากมุมสูงได้อย่าเต็มตา โดยเฉพาะยามพระอาทิตย์ตก จะเห็นนักท่องเที่ยวมากมายอยู่รอบบริเวณมัสยิด รับรองว่าคึกคักไม่เปลี่ยวแน่นอน บางคนก็รอกันจนฟ้ามืดเพื่อชมเมืองสีฟ้าช่วงค่ำคืนกันเลยทีเดียว
ถ้ามาที่นี่อยากแนะนำให้พักบริเวณเมืองเก่าจะดีที่สุด เพราะสามารถเดินเที่ยวภายในเมืองสีฟ้าได้อย่างเต็มอิ่ม ตัวเมืองเก่าขนาดไม่ใหญ่โตมากนัก สามารถเดินได้ทั่วบริเวณ แต่ถ้าหากจะไปที่สถานีรถบัสอาจจะต้องใช้บริการรถTaxi ซึ่งก็ราคาไม่ได้แพงมาก ประมาณรอบละ 50-80 บาทเท่านั้น
ด้วยความที่เคยเป็นเมืองป้อมปราการมาก่อน ตัวเมืองจึงมีลักษณะเป็นเนินสูงชัน บ้านเรือนก็อยู่สูงไต่ระดับตามเนินไปเรื่อย ๆ ใครพักอยุ่สูงหน่อยก็ต้องลากกระเป๋าไกลหน่อย หรือจะเรียกให้โรงแรมมารับก็ได้ แล้วให้ทิปค่าเหนื่อยคนที่มาช่วยยกกระเป๋าเสียหน่อยก็โอเค ที่ด้านล่างของเมืองเก่าเป็นตลาดกลางเมือง สถานที่รวมของนักท่องเที่ยวนานาชาติ มีร้านอาหารเปิดอยู่มากมาย รวมถึงร้านของที่ระลึกต่าง ๆ ด้วย
กิจกรรม
โดนปกติการไปเที่ยวที่นี่กิจกรรมหลักก็ไม่พ้นเดินเล่นภายในตัวเมืองสีฟ้า ถ่ายรูปเก๋ ๆ ซึ่งมุมถ่ายรูปมีมากมายนับไม่ถ้วน รับรองว่าถ่าย 2-3 วันก็ไม่หมด ภายในเมืองมีร้านอาหารน่าสนใจหลายร้านเลย ควรลองอาหารพื้นเมืองชื่อดังอย่างทาจิน เป็นเนื้อสัตว์อบหม้อดินพร้อมกับสมุนไพรแบบโมรอคโค รสชาติจัดจ้านอร่อยมาก ๆ หรือจะลองชีสนมแพะที่มีเฉพาะที่นี่ก็ได้ กินแกล้มกับน้ำผลไม้อร่อยเหมือนกัน
ช่วงเวลาที่ควรไป
เนื่องจากเป็นประเทศในแถบแห้งแล้งและแดดจัด ควรไปเยือนในช่วงฤดูที่อากาศเย็นหน่อยจะดีกว่า ตั้งแต่ราวเดือนกันยายนถึงเดือนเมษายน อากาศยังเย็นสบาย สามารถเดินเที่ยวได้อย่างไม่เสียอารมณ์ ไม่ต้องคอยหลบแดดเป็นพัก ๆ