โควิด เปลี่ยนแปลงชีวิตอะไรเราไปบ้างครับ?
โควิดทำให้เราเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง
วันนี้เริ่มต้นด้วยหัวข้อเรื่องที่แปลกไปหน่อย แต่มันคือเรื่องสำคัญมากในเวลานี้
ผมเชื่อว่าทุกคนในนี้ต้องได้รับผลกระทบอย่างเรื่องหนึ่งเสมอ นั่นก็คือ เรื่องงานหรือรายได้หรือแม้กระทั่งที่อยู่
ในภาพคือบ้านผมเองที่ภูเก็ต ผมไม่ได้กลับบ้านหลักที่กรุงเทพมาเกือบ 3 เดือนแล้ว ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิตมากๆ
เขาบอกกันว่าในยุคปัจจุบันให้เลือกทำงานหลายๆอย่าง ลงทุนหลายๆแห่ง เพื่อกระจายความเสี่ยงในชีวิตเอาไว้ เวลาเกิดวิกฤตจะได้มีทางหนีทีไล่
ผมก็เชื่อเช่นนั้นเสมอมา และเลือกทำงานหลายๆอย่างในเวลาเดียวกันตามปรัชญาของหนังสือที่แทบจะบอกเหมือนกันทุกเล่ม
แต่สิ่งที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ โควิดมาครั้งเดียว แต่เหมือนกับพายุลูกใหญ่ที่พัดมารอบเดียวแทบจะพัดเอางานหลายๆอย่างที่ถือไว้กับมือหายวับไปกับตา
หลายๆคนอาจจะไม่เชื่อคนอย่างอาชีพ "หมอ" จะได้รับผลกระทบจากโควิดด้วยเหรอ ? มันน่าจะเป็นผลลัพธ์เชิงบวกมากกว่าหรือเปล่า แน่นอนว่าทุกปฎิกิริยาย่อมมีแรงปฎิกิริยากลับมาเสมอ เมื่อมีคนที่ได้รับผลดี มันก็ต้องมีคนที่ได้รับผลเสีย
อาชีพอย่างหมอก็เช่นกันครับ มีหมอหลายๆส่วนที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ตั้งแต่เจ็บเบาๆเหมือนหยิกมากจนไปถึงเจ็บหนักที่กลายเป็นคนว่างงานชั่วคราว เอาของตัวเองก่อน ผมทำงานกับคนต่างชาติแทบจะ 100% ทำด้าน travel medicine วางแผนการป้องกันโรค วางแผนการเดินทางให้คนไข้ที่ออกเดินทาง เมื่อเกิดการ shutdown แบบในปัจจุบันที่เริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนมีนาคม ไม่มีคนต่างชาติเข้าประเทศ ไม่มีคนไทยไปต่างประเทศ ไม่มีการเดินทาง ไม่มีการท่องเที่ยว คนไข้ของผมแทบจะหายไปทั้งหมด
ถ้าเป็นหมอกลุ่มอื่นๆเช่น เพื่อนที่รู้จัก หมอผ่าตัด คิวผ่าตัดก็จะถูกลดลง หมอห้องฉุกเฉินก็ถูกลดจำนวนเวรลง หมอด้านความงามก็ถูกจำกัดการทำงานถึงขั้นคลินิกถูกสั่งปิด และผลสุดท้ายของแรงปฎิริยานั้นคือ รายได้ที่ลดลงเกือบทุกคนนั่นเองครับ แต่อย่างไรคนอาชีพแบบหมอหรือ นักบิน หรืออาชีพอื่นๆที่รายได้สูง ถึงได้รับผลกระทบก็คงเรียกว่าเป็น soft landing มากกว่าที่จะเป็น hard landing แบบผู้ที่มีรายได้น้อยอย่างที่เห็นในข่าวทุกๆวัน ผมคิดแบบนั้น
อันต่อมา สิ่งที่ผมทำมาตลอดเช่นเดียวกันในช่วง 2-3 ปีหลังนี้ ก็คือ ธุรกิจเล็กๆที่สร้างขึ้นมา บางคนอาจจะเคยเห็นหรือเคยผ่านตา อันแรกคือ The Puffin House ที่จำหน่ายอุปกรณ์เดินทาง และ Patourlogy ที่เป็นบริการนำเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งลูกค้าหรือแขกของผม 99% คือคนไทยที่กำลังจะไปเที่ยวนอก และอีก 1% คือคนนอกกำลังจะมาเที่ยวไทย พอเกิดการปิดประเทศ ปิดพรมแดน ปิดอุทยานแห่งชาติ ปิดไม่ให้ข้ามจังหวัด ฯลฯ ในมุมมองคนทำการค้ามันเหมือนกับ
"เดินกินชาไข่มุกอยู่ที่สยามอยู่ดีๆแล้วถูกคนไม่หวังดี เอาฆ้อนยักษ์มาตีหัวกลางสี่แยกจนเหมือนจะสลบแต่ยังไม่ตายครับ" จากเหตุการณ์นี้เองที่ผมแทบจะตกผลึกความคิดได้ทันทีว่า ผมทำหลายอย่างก็จริง แต่ผมดันทำทุกอย่างในวงการเดียวกัน คนไข้ ลูกค้า ผู้บริโภค ผู้รับบริการ คือคนกลุ่มเดียวกัน เมื่อเกิดปัญหาในวงการนั้นๆ ผลลัพธ์ของเหตุการณ์ก็แทบไม่ต่างจากโดมิโนเอฟเฟค หมากตัวแรกล้มสุดท้ายคือล้มทั้งกระดาน
ตัวผมเองที่หายไปนานหลายเดือนในช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ หลักๆเลยคือหันกลับไปให้เวลากับสิ่งที่ทำอยู่อย่างจริงจังทั้งหมด เพื่อทำ CPR งาน/ธุรกิจของตนเอง (ขอใช้ภาษาแพทย์นะครับ CPR คือการช่วยชีวิตคนที่หมดสติ/คลำชีพจรไม่ได้/แต่ยังไม่ตาย เห็นภาพได้ชัด) หาหนังสือเกี่ยวกับธุรกิจมาอ่านได้เกือบ 30-40 เล่ม อ่านจนจบหมดในเวลา 1-2 เดือน ฟัง podcast ฟัง live ฟังการประชุมออนไลน์ต่างๆที่มีให้ ณ เวลานั้นๆ ตอนนั้นในทีมงานมีอยู่ประมาณ 10 คน คิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรให้น้องๆทุกคนได้ทำงานต่อเหมือนปกติและรับเงินเดือนเท่าเดิม ทำอย่างให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้
ผมต้องขอขอบคุณหลายๆคนมากๆ ที่ให้ไอเดียที่มีค่าในการแก้ปัญหาให้คนที่ไม่เคยเรียน MBA/การตลาดมาก่อน เช่น คอร์ส qMBA ของ CBS Academy และ ความรู้จากเพจของคุณต่อ เจ้าของเพจ Torpenguin สมาคม Thai e-Commerce Association ที่เหมือนกับเป็นแสงเทียนเล็กๆในช่วงเวลานั้น จนสุดท้ายก็ได้นำความรู้นอกมหาวิทยาลัยเหล่านี้มาปรับมาแก้ จนตอนนี้ก็ถือว่าผ่านพ้นระยะเฉียดเป็นเฉียดตายมาได้ขอพูดภาษาแพทย์อีกครั้ง เรียกว่ากู้ชีพขึ้น ชีพจรกลับมา ถูกย้ายมาพักใน ICU อวัยวะยังอยู่เหมือนเดิมไม่ได้โดนตัด แต่ว่ายังไม่ปกติ
ตอนนี้วิกฤต COVID-19 ผ่านมาได้สักระยะแล้ว ทุกคนน่าจะติดตามข่าวกันอยู่แล้ว ผมคงไม่ขอพูดถึงการพยากรณ์โรค/เรื่องราวการระบาด/เศรษฐกิจไทยอีก เพราะว่ามีคนที่เก่งกว่าและอธิบายได้ดีกว่าผมมาก แต่ที่ฟังแล้วน่ากังวลมากก็คือเรื่อง "โรค" ดูสดใสมากขึ้น แต่เรื่องทาง "โลก" โดยเฉพาะโลกเศรษฐกิจนั้นเรายังเดินไปไม่ถึงปากเหวเลยใช่หรือเปล่า และปากเหวนั้นจะเริ่มต้นที่เดือนตุลาคมนี้? ถึงจุดๆนั้น เราทุกคนจะเป็นอย่างไร?
คนเก่งๆหลายคนบอกว่า คนเราต้องมีการ Learn / Unlearn / Relearn อยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแทบจะทุกวินาที เรา learn กันมาแทบทั้งชีวิต แต่เราอาจจะไม่เคย unlearn หรือ relearn เลยก็ได้
วิกฤตรอบนี้ COVID-19 ได้สอนผมด้วยบทเรียนที่ว่าเราต้องทำ 2 อย่างหลังด้วย เขาบอกกันว่า โลกจะมอบบทเรียนนี้ให้แก่ทุกๆคนโดยเท่าเทียมกัน ในรอบทุกๆ 40-50 ปี เรื่อง unlearn/relearn น่าสนใจมากนะครับ ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมได้
ถ้าถามผมว่า ตัวเองได้ unlearn / relearn อะไรไปบ้าง ก็คงสรุปให้ตัวเองได้ว่า ปัจจุบันนี้มันมีชุด skill หนึ่งที่หลายๆคนอาจจะปฏิเสธมันไปไม่ได้แล้ว เพราะโลกอนาคตมันถูกพานั่งไทม์แมชชีนมายังโลกปัจจุบัน
คำตอบคือ "อาชีพ/งานอะไรก็ตามควรต้องทำให้เป็นโมเดลที่อยู่บนโลกออนไลน์" ให้ได้
ถ้าอาชีพที่ทำอยู่ ไม่โดนผลกระทบในครั้งนี้เลย ต้องถือว่าโชคดีและอยู่ในวงการที่ถูกต้อง ผมขอให้คนอ่านที่อยู่ในอาชีพ/งานกลุ่มนี้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องครับ
แต่ถ้าไม่ได้อยู่ในกลุ่มนี้ละ เราอาจไม่มีทางเลือกที่จะปฏิเสธได้อีกแล้ว
ผมเองเคยคิดว่าอยากจะทำคลิป ทำวีดีโอ อยากเล่าเรื่องต่างๆ ทั้งความเชี่ยวชาญ ความรู้ในส่วนที่ผมมีมานานแล้ว (ปกติเอาไว้ใช้เล่าหรือสอนแบบ offline 100%) แต่มีข้ออ้างให้ตัวเองมาตลอดจนไม่ได้ลงมือทำ จนมาตอนนี้คิดว่าเป็นเวลาที่ดีมากๆ ที่จะเริ่มต้นทำอะไรใหม่ๆให้ตัวเองดู เพราะความรู้ต่อไปหลังจากนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเข้าถึงได้ยากหรือราคาแพงอีกต่อไปแล้ว
หลังจากนี้ไปทุกคนจะเริ่มเห็นคลิปในมุมมองใหม่ๆในส่วนของผมเอง อย่างที่เคยบอกครับว่า มันจะไม่เป็นเรื่องแบบเที่ยว 100% แล้ว แต่ผมจะลองนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่สะท้อนความคิดและประสบการณ์ที่เป็นปัจจุบันได้มากที่สุดครับ หรืออาจะมีการนำเสนอใหม่ๆที่กำลังคิดอยู่ในหัวเช่นกัน
เร็วๆนี้ มาพบกับเรื่องราวใหม่ๆ และที่จะตามออกมาเรื่อยๆ กันครับ
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้นะครับ ผมว่ามันค่อนข้างยาวมาก พิมพ์ใน word นับได้ 1,357 คำ
ผมอยากฟังเรื่องราวของคนอื่นๆด้วยเช่นกันครับ มาแชร์กันได้นะครับ
สุดท้ายนี้ส่วนตัวผมเองก็ขอให้กำลังใจทุกๆคนเอาตัวรอดหาวิธีให้ผ่านวิกฤตนี้ไปได้พร้อมๆกันนะครับ
#หมอโจ้
patourlogy 在 Patourlogy | Bangkok 的推薦與評價
Patourlogy, Bangkok, Thailand. 6292 likes · 310 talking about this · 2 were ... Patourlogy. 6.2K likes. . 6.7K followers. . Follow. . Posts. About · Reels. ... <看更多>