ทำไม สิงคโปร์ จึงเป็นประเทศแห่ง บริการทางการเงิน ? /โดย ลงทุนแมน
ประเทศเกาะเล็ก ๆ แห่งนี้มีประชากรเพียงราว ๆ 5.7 ล้านคน
แต่สามารถส่งออกบริการด้านการเงินมากเป็นอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย
คิดเป็นมูลค่าถึง 1,210,000 ล้านบาท ในปี 2019
จากการจัดอันดับเมืองศูนย์กลางการเงินโลกของ Long Finance ประจำปี 2021
สิงคโปร์คือศูนย์กลางการเงินอันดับ 5
เป็นรองเพียงนิวยอร์ก กรุงลอนดอน และเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นมหานครหลักของประเทศมหาอำนาจ
กับฮ่องกง ที่เป็นเมืองเชื่อมต่อธุรกิจระหว่างโลกกับจีนแผ่นดินใหญ่
สำหรับประเทศเกาะเล็ก ๆ ที่เพิ่งก่อตั้งในปี 1965 และแทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย
แม้แต่น้ำจืดก็ยังขาดแคลนจนต้องนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน
แต่สามารถเติบโตจนแซงหน้ามหานครในหลายประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่า
และก้าวขึ้นมาอยู่ระดับแถวหน้าของโลกได้ภายในเวลาไม่ถึง 50 ปี..
ความมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์ มีเส้นทางเป็นอย่างไร ?
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สิงคโปร์ จึงเป็นประเทศแห่ง บริการทางการเงิน ?
ถึงแม้ประเทศจะมีขนาดเล็ก ไม่ค่อยเหมาะสมกับการเพาะปลูก และแทบไม่มีทรัพยากรอะไรเลย
แต่เกาะสิงคโปร์ยังมีความโชคดีอยู่ประการหนึ่ง คือ
“ทำเลที่ตั้งที่อยู่ปลายสุดของคาบสมุทรมลายู”
ทำเลนี้เป็นจุดสำคัญของเส้นทางเดินเรือ ที่เชื่อมต่อระหว่างเอเชียตะวันออก กับอินเดียและยุโรป
ในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 อังกฤษรวบรวมดินแดนแถบนี้และเรียกว่า “อาณานิคมช่องแคบ”
สิงคโปร์จึงถูกวางให้เป็นเมืองท่าสำคัญของบริษัท บริติช อีสต์ อินเดีย ซึ่งเป็นบริษัทที่เดินเรือทำการค้าขายระหว่างยุโรป กับอินเดียและโลกตะวันออก
ต่อมาเมื่อมีการปฏิวัติอุตสาหกรรมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เกิดอุตสาหกรรมอาหารกระป๋องที่ได้รับความนิยมสูงในยุโรป แร่ธาตุที่จะนำมาทำกระป๋องก็คือ ดีบุก ซึ่งพบมากแถบคาบสมุทรมลายู เมืองท่าสิงคโปร์จึงถูกพัฒนาให้เป็นตลาดค้าดีบุกที่สำคัญของโลก
นอกจากดีบุกแล้ว การนำยางพาราเข้ามาปลูกในแถบมลายูในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
ก็ทำให้สิงคโปร์กลายเป็นศูนย์กลางของตลาดประมูลยางพาราอีกหนึ่งตำแหน่ง
การเป็นทั้งเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการค้าดีบุกและยางพารา ส่งผลให้การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศในสิงคโปร์คึกคัก ดึงดูดชาวต่างชาติให้เข้ามาเปิดกิจการธนาคาร
ธนาคารต่างชาติแห่งแรกที่เข้ามาเปิดทำการในสิงคโปร์ คือ The Union Bank of Calcutta
เปิดในปี 1840 มีการจัดตั้งสกุลเงินประจำอาณานิคมช่องแคบ คือ Straits Dollar ในปี 1845
ส่วนธนาคารแห่งแรกที่ก่อตั้งในสิงคโปร์ ก่อตั้งโดยชาวจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาจากกวางตุ้ง
ชื่อว่า Kwong Yik Bank ในปี 1903 และหลังจากนั้นก็ตามมาด้วยธนาคารอีกหลายแห่ง
แต่ก็มีธนาคารมากมายที่ล้มหายตายจาก หรือถูกควบรวมกับธนาคารอื่น ๆ
ส่วนธนาคารที่ยังดำเนินการมาจนถึงปัจจุบันก็คือ
OCBC หรือ Oversea-Chinese Banking Corporation Limited ซึ่งเกิดจากการควบรวมธนาคารของชาวจีนฮกเกี้ยน 3 แห่ง ในปี 1932
และอีกธนาคารหนึ่งก็คือ UOB หรือ United Overseas Bank ซึ่งก่อตั้งโดยชาวมาเลย์เชื้อสายจีนในปี 1935
แต่ท่ามกลางการวางรากฐานด้านการเงินการธนาคารของสิงคโปร์
การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองท่าแห่งนี้ต้องหยุดชะงักลงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะถูกยึดครองโดยกองทัพญี่ปุ่น
เมื่อหลังจบสงคราม อาณานิคมช่องแคบได้รับเอกราชจากอังกฤษ และสิงคโปร์ก็ได้ขอรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย ในปี 1963
แต่ด้วยปัญหาความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ และอุดมการณ์ทางการเมือง
ท้ายที่สุดสิงคโปร์จึงแยกตัวออกจากมาเลเซีย และก่อตั้งประเทศในปี 1965
พร้อมกับตั้งสกุลเงินดอลลาร์สิงคโปร์ของตัวเองในอีก 2 ปีถัดมา
สิงคโปร์ถือกำเนิดประเทศด้วยการไม่มีทรัพยากรอะไรเลย
และเต็มไปด้วยแรงงานชาวจีนที่หลั่งไหลมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ในช่วงหลังสงครามโลก
ลี กวน ยู (Lee Kuan Yew) นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์ จึงให้ความสำคัญกับเรื่องสวัสดิภาพความเป็นอยู่ รวมไปถึงการสร้างทักษะให้กับแรงงาน ต่อยอดจากการเป็นเมืองท่าค้าขาย
มีการจัดตั้ง Housing and Development Board เพื่อดูแลในเรื่องที่พักอาศัย
และสร้างนิคมอุตสาหกรรมในเขต Jurong ทางตะวันตกของเกาะ
เพื่อสร้างงานในภาคอุตสาหกรรม
โครงการพัฒนาขนาดใหญ่ทั้ง 2 โครงการ ต้องใช้เงินลงทุนสูง รัฐบาลสิงคโปร์จึงลงทุนเองบางส่วนในโครงการเหล่านี้ และได้ตั้ง The Development Bank of Singapore Limited หรือ ธนาคาร DBS ในปี 1968 เพื่อรองรับเงินทุน กระตุ้นให้เงินทุนหมุนเวียน และโครงการพัฒนาดำเนินไปอย่างราบรื่น
เมื่อผู้คนมีที่อยู่อาศัย มีงานทำ และค่อย ๆ หลุดพ้นจากความยากจนแล้ว รัฐบาลก็ต้องวางแผนต่อเนื่องเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ประการแรก: พัฒนาการศึกษา
เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดของประเทศที่ขาดแคลนทรัพยากรอย่างสิงคโปร์ ก็คือ “ทรัพยากรมนุษย์”
รัฐบาลสิงคโปร์จึงให้ความสำคัญต่อนโยบายการศึกษาอย่างสูงสุด โดยมีการปฏิรูปคุณภาพของระบบ และมาตรฐานการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง
เริ่มจากการมีบุคลากรครูคุณภาพสูง โดยครูทุกคนต้องจบการศึกษาในด้านที่เกี่ยวข้อง หลังจบการศึกษาต้องเข้ารับการฝึกอบรมวิชาชีพครูจากสถาบันการศึกษาแห่งชาติสิงคโปร์ (National Institute of Education หรือ NIE) เป็นเวลา 1 ปี เมื่อปฏิบัติหน้าที่ครูแล้วต้องได้รับการประเมิน และพัฒนาในทุก ๆ ปี
และด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติและภาษาของผู้คนในสิงคโปร์ ที่มีทั้งชาวจีน ชาวมาเลย์ ชาวทมิฬ ซึ่งแต่ละเชื้อชาติต่างก็มีการใช้ภาษาเป็นของตัวเองแตกต่างกันไป
สิ่งที่จะหลอมรวมให้คนทุกเชื้อชาติสามารถอยู่ร่วมกันก็คือ
“ชาวสิงคโปร์ทุกคนจะต้องสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้”
นำมาสู่ระบบการเรียนการสอนสองภาษา ที่มีการใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก
ส่วนภาษาที่สองก็เป็นภาษาของแต่ละเชื้อชาติ
รัฐบาลสิงคโปร์ยังได้สร้างทางเลือกในการศึกษาระดับมัธยมให้กับประชาชน โดยแบ่งเป็น
หลักสูตรมัธยมศึกษาเชิงวิชาการ สำหรับนักเรียนที่มุ่งเรียนต่อในมหาวิทยาลัย
และหลักสูตรมัธยมศึกษาโพลีเทคนิค สำหรับนักเรียนที่มุ่งเรียนต่อในสายอาชีวะ
ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์ก็ผลักดันมาตรฐานในการเรียนสายอาชีวะให้มีคุณภาพสูง
เพราะมองว่านักเรียนแต่ละคนมีความถนัดทางวิชาการไม่เท่ากัน และสายอาชีวะสามารถผลิตบุคลากรเพื่อป้อนตลาดแรงงานในทันที
โดยหนึ่งในสายวิชาชีพ ที่รัฐบาลผลักดันตั้งแต่การก่อตั้งวิทยาลัยอาชีวะแห่งแรก ๆ ก็คือ “นักบัญชี”
สำหรับการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย มีการจัดตั้ง National University of Singapore (NUS) ที่เกิดจากการควบรวมมหาวิทยาลัย 2 แห่งในปี 1980 และเริ่มพัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการ โดยจัดตั้ง NUS Entrepreneurship Centre ในปี 1988
ซึ่งในปีการศึกษา 2022 มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 1 ของทวีปเอเชีย
จากการจัดอันดับโดย QS
ต่อมาในปี 1981 มีการจัดตั้ง Nanyang Technological University (NTU)
ซึ่งก็กลายเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 2 ของทวีปเอเชีย
โดยมี Nanyang Business School เป็นสถาบันด้านบริหารธุรกิจอันดับ 1 ของสิงคโปร์
เมื่อสร้างแรงงานที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในภาคบริหารธุรกิจและการเงิน รวมไปถึงด้านกฎหมาย และแรงงานส่วนใหญ่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ดี
ปัจจัยเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้สิงคโปร์มีความเป็นเมืองนานาชาติ และมีข้อได้เปรียบดึงดูดบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะสถาบันการเงิน บริษัทด้านบัญชี และกฎหมาย ให้เลือกมาตั้งสำนักงานใหญ่ระดับภูมิภาคในสิงคโปร์
รัฐบาลได้จัดตั้ง ธนาคารกลางแห่งสิงคโปร์ (Monetary Authority of Singapore หรือ MAS) ในปี 1971 เพื่อควบคุมสถาบันการเงิน และบริหารจัดการนโยบายทางการเงิน
ด้วยความที่สิงคโปร์เป็นประเทศขนาดเล็กและเป็นเมืองท่าค้าขาย และพึ่งพาการค้าจากต่างประเทศสูงมาก สิงคโปร์จึงอาศัยกลไก “อัตราแลกเปลี่ยน” เป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายการเงิน ภายใต้การบริหารจัดการของ MAS
ประการที่ 2: ปฏิรูประบบราชการ
เมื่อวางแผนระบบการศึกษาเพื่อสร้างแรงงานที่มีคุณภาพแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพัฒนาเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติก็คือ “ความโปร่งใส”
ในช่วงหลังการแยกตัวเป็นเอกราช
สิงคโปร์เคยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีการคอร์รัปชันสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก
รัฐบาลภายใต้การนำของนายก ลี กวน ยู ได้ย้ายสำนักสืบสวนการทุจริตคอร์รัปชัน (Corrupt Practices Investigation Bureau หรือ CPIB)
ซึ่งเป็นองค์กรที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1952 มาอยู่ภายใต้สำนักนายกรัฐมนตรี
และทำการปฏิรูปกฎหมายป้องกันและปราบปรามการคอร์รัปชัน ให้ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ
ทั้งการตัดสินลงโทษผู้ต้องหาโดยไม่ต้องมีหลักฐานชัดเจน แค่มีพฤติกรรมโน้มเอียงไปในทางไม่ซื่อสัตย์ก็สามารถตัดสินได้ หากผู้ต้องหาถูกตัดสินว่าผิดจริง ก็จะได้รับโทษอย่างรุนแรง
นอกจากโทษทางกฎหมายแล้ว ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายเท่ากับจำนวนเงินที่ทำการทุจริตด้วย
หลังจากตัวบทกฎหมาย และกระบวนการลงโทษเริ่มเข้าที่เข้าทาง
ขั้นต่อมา คือการเพิ่มผลตอบแทนให้ข้าราชการ โดยเริ่มในปี 1989
เพื่อจูงใจให้คนเก่งเข้ารับราชการ และลดการรับสินบนของเจ้าหน้าที่รัฐ
รัฐบาลสิงคโปร์ใช้เวลาต่อสู้กับการคอร์รัปชันมาเป็นเวลากว่า 50 ปี
จนสิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่มีดัชนีความโปร่งใส (Corruption Perceptions Index)
สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก ในปี 2020
เมื่อประเทศมีความโปร่งใส ก็ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ในขณะที่รัฐบาลก็มีเงินมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ทั้งการคมนาคมขนส่ง ไปจนถึงระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
รัฐบาลสิงคโปร์ยังได้ก่อตั้ง คณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (Economic Development Board หรือ EDB) เพื่อวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจที่ชัดเจน
จากเมืองท่าปลอดภาษี ในช่วงทศวรรษ 1970s สิงคโปร์ต่อยอดมาสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี ในทศวรรษ 1980s
และในช่วงทศวรรษ 1990s ประเทศแห่งนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นศูนย์กลางบริการทางการเงินของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ประการที่ 3: พัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ
รัฐบาลสิงคโปร์ได้จัดตั้ง The Smart Nation and Digital Government Group หรือ SNDGG รับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงบริการต่าง ๆ ของภาครัฐสู่ระบบดิจิทัล เพื่อเก็บข้อมูล และประยุกต์ใช้ในการวางแผนพัฒนาประเทศ ทำให้รัฐบาลสิงคโปร์มี Big Data โดยเฉพาะข้อมูลทางการเงิน
รัฐบาลจึงสามารถตรวจสอบเส้นทางทางการเงินได้ ป้องกันการฟอกเงิน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองทำให้สิงคโปร์ได้รับความน่าเชื่อถือ สามารถเป็นศูนย์กลางทางการเงิน
รัฐบาลยังต่อยอดและให้การสนับสนุนเทคโนโลยีทางการเงิน หรือ FinTech โดยมีเป้าหมายเพื่อผลักดันให้สิงคโปร์เป็น The FinTech Nation
ทั้งการเปิดให้บริษัท FinTech จากทั่วโลก ขอใบอนุญาต Digital Banking ได้เต็มรูปแบบ
ไม่ปิดกั้นเฉพาะองค์กรในสิงคโปร์ และให้การสนับสนุนนวัตกรรมทางการเงินหลายรูปแบบ
ทั้งระบบชำระเงิน, บล็อกเชน ไปจนถึงเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
ในขณะที่ธนาคารกลางสิงคโปร์ ก็เป็นผู้ริเริ่มจัดงาน Singapore FinTech Festival ซึ่งจัดขึ้นครั้งแรกในปี 2016 และจัดขึ้นติดต่อกันมาเป็นประจำทุกปี ซึ่งถือว่าเป็นมหกรรม FinTech ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ปัจจุบัน ธนาคารสิงคโปร์ที่ใหญ่ที่สุด 3 แห่ง คือ DBS, OCBC และ UOB
ล้วนเป็น 3 ธนาคารที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน มีผลิตภัณฑ์การเงินที่หลากหลาย ทั้งประกันภัย ผลิตภัณฑ์การลงทุนต่าง ๆ ไปจนถึงสกุลเงินดิจิทัล
ภาคบริการการเงินคิดเป็นสัดส่วนราว 7.4% ของการส่งออกสินค้าและบริการของสิงคโปร์ ซึ่งบริการขั้นสูงเหล่านี้ มีส่วนสำคัญที่ผลักดัน GDP ต่อหัวของชาวสิงคโปร์ให้สูงขึ้นเรื่อย ๆ
ในปี 1965 ที่ก่อตั้งประเทศ ชาวสิงคโปร์เคยมี GDP ต่อหัวน้อยกว่า เจ้าอาณานิคมอย่างสหราชอาณาจักร ประเทศแห่งนวัตกรรมอย่างเยอรมนี หรือประเทศมหาอำนาจในเอเชียอย่างญี่ปุ่น
แต่ในปี 2020 GDP ต่อหัวชาวสิงคโปร์แซงหน้าประเทศเหล่านี้ทั้งหมด และมากเป็นเกือบ 1.5 เท่า ของอดีตเจ้าอาณานิคม..
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากการวางแผนระยะยาว
ทั้งการเตรียมทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมสำหรับงานบริการ
การพัฒนาประเทศให้โปร่งใสและมีความน่าเชื่อถือในระดับสากล
รวมไปถึงการช่วยเหลือของภาครัฐในทุก ๆ ด้าน
จากเมืองท่าศูนย์กลางการค้า สิงคโปร์ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการเงินของภูมิภาค และกำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีทางการเงินแห่งศตวรรษที่ 21
เรื่องราวของประเทศเกาะมหัศจรรย์แห่งนี้ บอกให้เรารู้ว่า
เมื่อเริ่มเป็นศูนย์กลางอะไรสักอย่าง และสั่งสมประสบการณ์จนมากพอแล้ว
ก็จะง่ายในการดึงดูดสิ่งใหม่ ๆ และกลายเป็นศูนย์กลางด้านอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
และในวันนี้ สิงคโปร์กำลังเตรียมพร้อมทุกอย่าง
สำหรับการเป็นศูนย์กลางอีกหลายด้าน ที่กำลังจะเกิดขึ้นในโลกอนาคต..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References:
-http://prp.trf.or.th/download/2538/
-https://atlas.cid.harvard.edu/explore?country=undefined&product=404&year=2019&productClass=HS&target=Product&partner=undefined&startYear=undefined
-https://remembersingapore.org/2011/10/07/money-never-sleeps-a-brief-history-of-banking-in-sg/
-https://lkyspp.nus.edu.sg/docs/default-source/case-studies/entry-1516-singapores_transformation_into_a_global_financial_hub.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?locations=SG-GB-JP-DE
-https://www.moneyandbanking.co.th/article/news/dbs-cryptocurrency-trading-130964?fbclid=IwAR2VVHEH9_n29fpyXSQ6EgSGDm63Lhm3aQF0aj7I8LIQ_B2wgjIXSazIVxU
同時也有28部Youtube影片,追蹤數超過16萬的網紅Sneaky Sushii,也在其Youtube影片中提到,Well played. Join My Discord Server ➤ https://discord.gg/GNepR9FeYV follow my socials: Instagram ➤https://www.instagram.com/SneakySushii Twitter ➤ h...
「singapore government instagram」的推薦目錄:
- 關於singapore government instagram 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於singapore government instagram 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
- 關於singapore government instagram 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於singapore government instagram 在 Sneaky Sushii Youtube 的精選貼文
- 關於singapore government instagram 在 Royce Lee Youtube 的精選貼文
- 關於singapore government instagram 在 DJ Macky Suson Youtube 的最佳貼文
singapore government instagram 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
คนสิงคโปร์ส่วนใหญ่ อาศัยอยู่ในบ้าน ที่สร้างโดยรัฐบาล /โดย ลงทุนแมน
“Public Housing” คือที่อยู่อาศัยที่รัฐบาลเป็นเจ้าของ โดยจัดสรรให้ประชาชนซึ่งส่วนใหญ่คือกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
แต่รู้หรือไม่ว่า ประเทศที่ร่ำรวยอย่างสิงคโปร์ มีประชากรกว่า 80% อาศัยอยู่ในที่อยู่อาศัยที่สร้างโดยรัฐบาล นั่นจึงทำให้สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศที่ นโยบายการเคหะแห่งชาติประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
แล้วรัฐบาลสิงคโปร์ทำได้อย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
หลังจากที่ประเทศสิงคโปร์พ้นจากการเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี 1959 หรือเมื่อ 62 ปีก่อน
สิงคโปร์ในตอนนั้นจึงเต็มไปด้วยผู้อพยพจำนวนมากหลากหลายเชื้อชาติ ทั้งชาวมาเลเซีย จีน และอินเดีย
ความหลากหลายดังกล่าวนอกจากจะนำไปสู่การแบ่งแยกเชื้อชาติแล้ว
อีกปัญหาที่เกิดขึ้นจากการที่ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว คือวิกฤติขาดแคลนที่อยู่อาศัย
จึงทำให้ประชากรบางส่วนต้องอยู่กันแบบชุมชนแออัดหรือที่เรียกว่าสลัม
ในปีถัดมา นายกรัฐมนตรีคนแรกของสิงคโปร์อย่าง ลี กวน ยู ได้จัดตั้งคณะกรรมการพัฒนาการเคหะที่ใช้ชื่อว่า Housing and Development Board หรือ “HDB” เป็นโครงการสร้างที่อยู่อาศัยให้เช่าสำหรับผู้ไม่มีกำลังทรัพย์
คุณลี กวน ยู มองว่าการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยคือสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ผู้อพยพได้เริ่มลงหลักปักฐานในประเทศนี้
โดยในช่วงแรก HDB ได้เร่งสร้างที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมจำนวนประชากรให้เร็วที่สุด
รูปแบบของที่อยู่อาศัยในตอนนั้นจึงเป็นแฟลตขนาดเล็ก แต่เน้นสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็นให้ได้มากที่สุด
แต่เมื่อนโยบาย HDB เริ่มไปได้ไม่นาน ในเดือนพฤษภาคม ปี 1961 กลับเกิดไฟไหม้ในย่านชุมชนแออัดแห่งหนึ่ง ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับพื้นที่ขนาดใหญ่ราว 8 สนามฟุตบอล จนมีผู้เสียชีวิต 4 คน และกว่า 16,000 คนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน
นี่จึงเป็นเหตุการณ์ความสูญเสียที่พิสูจน์ฝีมือของรัฐบาลลี กวน ยู ที่สามารถจัดหาที่อยู่อาศัยให้กับผู้ประสบภัยทั้งหมดได้ภายในปีเดียว ก่อนที่จะฟื้นฟูความเสียหายและสร้างที่อยู่อาศัยถาวรในบริเวณที่เกิดเหตุได้ภายใน 5 ปี
ผลงานนี้ได้ทำให้ชาวสิงคโปร์มีความเชื่อมั่นในนโยบาย HDB มากยิ่งขึ้นและทำให้รัฐบาลโน้มน้าวผู้คนที่คุ้นเคยกับที่อยู่อาศัยที่มีไม่กี่ชั้น ให้ไปอยู่อาศัยบนอาคารที่มีจำนวนชั้นมากขึ้น เป็นไปด้วยความราบรื่นมากยิ่งขึ้น
และในปี 1964 นอกจากการให้เช่าแล้ว HDB ได้เริ่มขายที่อยู่อาศัย
จนกระทั่งปี 1965 HDB ได้สร้างที่อยู่อาศัยไปกว่า 51,000 โครงการ
ซึ่งส่วนมากจะเป็นอะพาร์ตเมนต์ และทำให้ประชากรกว่า 1 ใน 4 หรือราว 400,000 คนมีที่อยู่อาศัย
เพื่อให้การสร้างที่อยู่อาศัยครอบคลุมไปทั่วประเทศ รัฐบาลได้ออกกฎหมายต่าง ๆ เพื่อกว้านซื้อที่ดิน จากในปี 1960 ที่รัฐครอบครองที่ดินอยู่ 44% มาเป็นกว่า 90% ในปัจจุบัน
ขณะที่รัฐบาลหลายประเทศยังคงโฟกัสกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและมีกำลังทรัพย์ไม่พอที่จะเข้าถึงที่อยู่อาศัยในราคาตลาดได้ แต่สำหรับประเทศสิงคโปร์ ที่แม้ว่ารายได้เฉลี่ยของประชากรถือว่าร่ำรวย รัฐบาลได้เริ่มหันมาโฟกัสนโยบายที่อยู่อาศัยเพื่อ “ทุกคน” เพราะต้องการให้ชาวสิงคโปร์มีที่อยู่อาศัยคุณภาพดีในราคาที่เข้าถึงได้
ซึ่งสิ่งที่รัฐบาลให้ความสำคัญและเป็นปัจจัยที่เชิญชวนให้ชาวสิงคโปร์
เลือกที่อยู่อาศัยจาก HDB ก็มีอยู่ด้วยกัน 3 อย่าง
ปัจจัยแรกก็คือ “ราคา”
ราคาของที่อยู่อาศัยจาก HDB จะถูกกว่าของเอกชนราว 20 ถึง 30%
ซึ่ง HDB จะมีข้อกำหนดสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยโดยตรงกับทาง HDB ว่าห้ามขายภายใน 5 ปีแรก เพื่อป้องกันการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อเก็งกำไร
หลังจากผ่าน 5 ปีแรกไปแล้ว จะสามารถขายต่อได้ในราคาตลาด หรือราคาที่ผู้ซื้อผู้ขายตกลงกันเอง แต่ราคาโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าราคาที่อยู่อาศัยมือหนึ่งของ HDB อยู่ราว 20 ถึง 25% ชาวสิงคโปร์จึงนิยมเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมือหนึ่งจาก HDB มากกว่า ส่วนตลาดรองนี้จะเป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ HDB ก็ยังมีนโยบายด้านราคาแบบอื่นเพิ่มเติม อย่างเช่น ผู้ซื้อจะได้รับส่วนลดเพิ่ม หากซื้อที่อยู่อาศัยในละแวกเดียวกับพ่อแม่
ปัจจัยที่สองก็คือ “ความช่วยเหลือทางการเงิน”
นอกจาก HDB จะช่วยอุดหนุนเพื่อกดราคาที่อยู่อาศัยให้ต่ำกว่าราคาตลาดแล้ว
ตัวโครงการยังมีนโยบายกองทุนที่ชื่อ Central Provident Fund โดยชาวสิงคโปร์จะถูกบังคับสะสมเงินในกองทุน โดยหักจากเงินเดือน 20% และเก็บจากนายจ้างอีก 17% ของเงินเดือน
ในตอนแรกกองทุนนี้มีเพื่อการเกษียณอายุเท่านั้น
แต่ในปี 1968 รัฐบาลอนุญาตให้ใช้เงินกองทุนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ด้วย
เพื่อช่วยให้ชาวสิงคโปร์เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายมากขึ้น
แต่เพียงราคาที่เข้าถึงง่าย และการสนับสนุนทางการเงิน คงไม่สามารถทำให้ชาวสิงคโปร์จำนวนมากตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยจากทาง HDB
นั่นจึงนำไปสู่ปัจจัยสำคัญอย่างที่สามก็คือ “คุณภาพ”
ที่อยู่อาศัยที่จัดสร้างโดย HDB ถือได้ว่ามีสภาพแวดล้อมและคุณภาพที่ดีกว่าสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในหลายประเทศ
โดยทาง HDB มีประเภทอสังหาริมทรัพย์ให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่แฟลตขนาดย่อมไปจนถึงคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ที่มีทั้งยิมและสระว่ายน้ำในตัว
ในแต่ละโครงการก็ยังมีห้องหลายแบบหลายขนาดให้เลือก ตั้งแต่ขนาด 2 ห้องไปจนถึง 5 ห้อง
เพื่อตอบโจทย์ครอบครัวหลายรูปแบบ
และมีบางโครงการที่ HDB จ้างบริษัทเอกชนออกแบบและก่อสร้าง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยได้ทัน แต่ราคาขายยังคงได้รับการอุดหนุนจาก HDB อยู่
นอกจากคุณภาพอสังหาริมทรัพย์แล้ว HDB ยังส่งเสริมในเรื่องคุณภาพชีวิตด้วย
เพราะบริเวณโดยรอบที่อยู่อาศัย HDB กำหนดให้ต้องมีทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล ซูเปอร์มาร์เก็ต ห้างสรรพสินค้า ยิมหรือสถานที่ออกกำลังกาย และทำเลที่ตั้งต้องอยู่ในรัศมีใกล้รถไฟฟ้าใต้ดินทำให้การเดินทางเป็นเรื่องสะดวกสบาย
นอกจากนี้ ภายในโครงการยังต้องมีสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาหรือตามประเพณีของทุกศาสนาและทุกเชื้อชาติ ซึ่งก็สอดคล้องกับข้อกำหนดที่ว่าผู้อาศัยในแต่ละโครงการต้องมีทุกเชื้อชาติรวมกันตามสัดส่วนที่ทาง HDB กำหนด เพื่อช่วยแก้ปัญหาการแบ่งแยกเชื้อชาติและแบ่งแยกชนชั้น
นอกจากเรื่องสัดส่วนของเชื้อชาติแล้ว HDB ยังกำหนดข้อจำกัดด้านอื่นไว้ด้วย ยกตัวอย่างข้อกำหนดที่สำคัญก็เช่น ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต้องจองซื้อก่อนล่วงหน้า และรอจนก่อสร้างเสร็จอีกโดยเฉลี่ยประมาณ 4 ปี
และแม้ว่าจะใช้คำว่าขาย แต่ในสัญญาจะพ่วงมากับสัญญาเช่า 99 ปี นั่นหมายความว่าเมื่อพ้นช่วง 5 ปีแรกที่ห้ามขายต่อแล้ว หลังจากนั้นผู้ซื้อจะขายต่อ หรือให้ตกทอดเป็นมรดกก็ได้
แต่เมื่อครบสัญญา 99 ปี อสังหาริมทรัพย์นั้นจะตกกลับไปเป็นของรัฐอีกครั้ง โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่าเพื่อนำที่ดินกลับมาใช้ใหม่ และสร้างที่อยู่อาศัยให้กับชาวสิงคโปร์ในรุ่นต่อไป
สุดท้ายแล้วเจ้าของที่แท้จริงก็ยังคงเป็นรัฐบาลอยู่ดี โดยถ้านับตั้งแต่ปี 1960 ที่ HDB เริ่มก่อตั้ง จะมีบ้านที่ครบสัญญา 99 ปีครั้งแรกในปี 2059 ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังสร้างความกังวลให้กับชาวสิงคโปร์ ว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง การต่อสัญญาเช่าจะเป็นอย่างไร
อีกข้อกำหนดก็คือ ชาวสิงคโปร์ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเองครั้งแรก ต้องมีอายุครบ 35 ปีก่อน แต่จะได้รับการยกเว้นถ้าเป็นคู่แต่งงาน ซึ่งทางรัฐบาลตั้งข้อกำหนดนี้มาเพื่อสนับสนุนให้คนรุ่นใหม่สร้างครอบครัว แก้ปัญหาการลดลงของประชากร
แต่ข้อกำหนดนี้ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในสังคมปัจจุบัน ที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น และการใช้ชีวิตคู่ที่ไม่จำเป็นว่าต้องแต่งงานเท่านั้นแบบในอดีต
อย่างไรก็ตาม HDB ได้ถือเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของรัฐบาลสิงคโปร์ ที่ทำให้ประชากรเลือกที่อยู่อาศัยในโครงการของรัฐเพิ่มขึ้นจาก 9% ในปี 1960 ที่เริ่มต้นโครงการ มาเป็นกว่า 80% ในปัจจุบัน ซึ่งมีโครงการที่อยู่อาศัยที่สร้างโดยรัฐบาลกว่า 1 ล้านยูนิตทั่วประเทศ
และนโยบายที่ทำให้เข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ในราคาไม่แพงนี้ ยังทำให้สิงคโปร์มีสัดส่วนประชากรที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยกว่า 91% มากเป็นอันดับสองของโลก เป็นรองเพียงประเทศโรมาเนีย
ซึ่งถ้าเทียบกับในประเทศพัฒนาแล้วประเทศอื่น อย่างเช่น สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร
ทั้งสองประเทศนี้มีสัดส่วนประชากรที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยราว 63% เท่านั้น
เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นโยบายนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้พรรค People’s Action Party ที่ก่อตั้งโดยคุณลี กวน ยู เป็นพรรคการเมืองเดียวที่ปกครองสิงคโปร์มาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลายาวนานกว่า 62 ปี อีกด้วย..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2020-07-08/behind-the-design-of-singapore-s-low-cost-housing
-https://www.economist.com/asia/2017/07/06/why-80-of-singaporeans-live-in-government-built-flats
-https://www.bbc.com/worklife/article/20181210-can-singapores-social-housing-keep-up-with-changing-times
-https://medium.com/discourse/singapores-paradoxical-housing-policy-6c3e21f8bca7
singapore government instagram 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
ถ้าการบินไทยล้ม อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง /โดย ลงทุนแมน
ทุกคนอาจบอกว่า การบินไทย ไม่มีทางล้ม
แต่คำถามที่น่าสนใจคือ
แล้วถ้าการบินไทยต้องล้ม
อะไรจะเกิดขึ้นบ้าง?
แล้วมันจะกระทบกับเราอย่างไร
ลงทุนแมนจะจินตนาการให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันดับแรกก็คือ
เราจะต้องบินไปต่างประเทศด้วยสายการบินอื่น
ในปี 2019 การบินไทย มีจำนวนผู้โดยสารประมาณ 24 ล้านคน
ซึ่งหากการบินไทยต้องหายไป
เราก็ต้องไปใช้บริการของสายการบินที่ให้บริการในจุดหมายนั้น
เช่น ไปสิงคโปร์ ก็อาจต้องใช้สิงคโปร์แอร์ไลน์
ไปฮ่องกง ก็ใช้คาเธ่ย์ แปซิฟิค
ซึ่งดูเหมือนว่าคนที่เดินทางไม่บ่อย ก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบอะไร แค่เปลี่ยนไปใช้สายการบินอื่น
แต่สำหรับคนที่ซื้อตั๋วล่วงหน้าของการบินไทย อาจเริ่มเป็นกังวลว่าเงินที่จองไปแล้ว จะเป็นอย่างไร
ที่สำคัญคือ คนที่เดินทางบ่อย และมีไมล์สะสมกับโปรแกรม Royal Orchid Plus
ก็คงเสียดายถ้าหากแต้มที่เก็บสะสมมานานจะต้องหายไป
อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้ว แต้มสะสมของ Royal Orchid Plus
สามารถนำไปแลกตั๋วเครื่องบินในเครือ Star Alliance ได้อีกกว่า 20 สายการบิน
เช่น ANA ของญี่ปุ่น หรือ Lufthansa ของเยอรมนี
ดังนั้น แม้ว่าจะไม่มีการบินไทยแล้ว
แต้มเหล่านี้อาจยังสามารถนำไปแลกตั๋วโดยสารของสายการบินในเครือก็เป็นได้
แต่อย่างไรก็ตาม เราก็คงต้องเตรียมใจไว้ว่าไมล์สะสมของเรา อาจกลายเป็นสิ่งไม่มีค่าได้เช่นกัน
กลุ่มคนลำดับต่อมาที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ก็คือ
พนักงานกว่า 20,000 ชีวิต
โดย 34% เป็นลูกเรือบนเที่ยวบิน
33% เป็นหน่วยบริการภาคพื้น
16% เป็นฝ่ายช่าง
และอื่นๆ อีก 17%
สำหรับพนักงานบางส่วน อาจเป็นการตกงานชั่วคราว เพราะยังสามารถโยกย้ายไปร่วมงานกับสายการบินอื่นได้
แต่ก็น่าจะมีพนักงานจำนวนไม่น้อย ที่สายการบินอื่นไม่รับ
เพราะตอนนี้สายการบินทุกแห่งกำลังเผชิญกับพิษเศรษฐกิจจาก COVID-19
การหางานใหม่ จึงคงไม่ได้ทำได้เหมือนในช่วงเวลาปกติ
ก็น่าคิดว่า จากเดิมอาชีพที่เกี่ยวข้องกับการบิน เป็นอาชีพที่ใฝ่ฝันของใครหลายคน
เงินเดือนสูง ได้ท่องเที่ยวในต่างแดน
ในตอนนี้เรื่องราวอาจไม่ได้สวยงามเหมือนในอดีต
และมีความท้าทายที่รออยู่ในอนาคต
และผู้ที่ได้รับผลกระทบลำดับสุดท้ายที่ทุกคนอาจนึกไม่ถึงก็คือ
“คนไทยทุกคนในประเทศ” จะมีส่วนร่วมกับความเสียหายในครั้งนี้ เพราะประเด็นหลักคือ การบินไทยเป็นรัฐวิสาหกิจ (ในตรงกันข้าม ถ้ากิจการได้กำไร คนไทยทุกคนก็จะมีส่วนร่วมเช่นกัน)
โดยล่าสุดการบินไทยมีหนี้สินมากกว่า 2 แสนล้านบาท
ซึ่งหากดูเฉพาะที่ต้องชำระภายใน 1 ปี การบินไทยมีหนี้ที่ต้องชำระ 54,580 ล้านบาท
ในขณะที่บริษัทมี เงินสดและลูกหนี้รวมอยู่ที่ 30,845 ล้านบาท
ซึ่งจากสถานการณ์ล่าสุด ก็ทำให้การบินไทยต้องขอกู้เงินจำนวนกว่า 5 หมื่นล้านบาท มาเสริมสภาพคล่อง
และขอให้กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ 51% เป็นผู้ค้ำประกัน
เพราะถ้ากระทรวงการคลังไม่ค้ำ ก็คงไม่มีใครอยากปล่อยให้การบินไทยกู้
นั่นหมายความว่าถ้าการบินไทยล้มจริง
รัฐบาลไทยก็มีหน้าที่ต้องจ่ายคืนเงินให้เจ้าหนี้ของการบินไทยทุกคนในส่วนที่ได้เคยไปค้ำประกันให้ทั้งหมด
ก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่า จะหยุดแค่นี้ แล้วปล่อยให้ล้ม
หรือถ้ารัฐบาลอยากสู้ต่อ ก็ต้องทำใจไว้ว่าหนี้ของการบินไทยอาจมีตัวเลขที่สูงขึ้นอีก และนั่นก็หมายความว่ารัฐบาลไทยจะมีภาระต้องค้ำประกันเงินกู้ที่มากขึ้นอีกในอนาคต
การบินไทยจะเดินไปทางไหน จะได้รับการแก้ไขอย่างไร
เราคงได้รับคำตอบในเร็วๆ นี้
จริงๆ แล้ว วิกฤติโควิด-19 อาจจะมีข้อดีของมันอยู่อย่าง
เพราะมันกลายเป็นตัวเร่งให้ปัญหาที่ถูกซ่อนไว้อยู่ ถูกยกขึ้นมาแก้ไข
ถ้าไม่มีวิกฤตินี้ แล้วฝืนไปเรื่อยๆ
มันอาจจะเสียหายมากกว่าวันนี้ ก็เป็นได้..
╔═══════════╗
Blockdit แหล่งรวมบทความวิเคราะห์
เจาะลึกแบบ deep content
ล่าสุดมีฟีเจอร์พอดแคสต์แล้ว
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-งบการเงินบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ปี 2562
-https://www.thaiairways.com/…/Ea…/EarningMiles_onTHAI01.page?
-https://www.bbc.com/thai/thailand-52585852
If Thai Airways fall, what will happen? / by Investing Man.
Everyone may say that Thai Airways will never fall.
But the interesting question is
What if Thai Airways fall?
What's going to happen?
How will it affect us?
Investing man will imagine.
╔═══════════╗
Blockdit Analytical Article Source
Deep content penetrating
Recently, a podcast feature has been published.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
What happens first is
We must fly abroad with another airline
In 2019, Thai Airways reached an estimated number of 24 million passengers.
If Thai Airways are gone
We also have to use the service of the airline that provides the destination.
For example, go to Singapore, it may require Singapore Airlines.
Go to Hong Kong and use Cathay Pacific.
It seems that people who don't often travel shouldn't be affected. Just switching to another airline.
But for those who buy tickets in advance of Thai Airways may start to worry about how money has been booked.
Importantly, people who travel often and have Miles with Royal Orchid Plus program.
It would be a pity if the collective points would be lost.
However typically Royal Orchid Plus Collection points.
More than 20 Star Alliance airfare can be redeemed.
For example, Japanese ANA or German Lufthansa.
So even though there is no Thai Airways
These points may still be redeemed for ticket stubs of airline.
However, we must prepare ourselves that our miles may become worthless too.
The next group of people who are affected.
Over 20,000 employees lives
By 34 % it's flight crew
33 % is floor service unit
16 % is the mechanic
And more 17 %
For some employees, it may be temporary unemployment because they can still be transferred to other airlines.
But there should be a few employees that other airlines don't accept.
Because every airline is facing economic poison from COVID-19
Looking for a new job so it's not as usual.
I think that from the beginning, the occupation involves flying is the wildest career of many people.
High salary to travel in different countries.
Now the story may not be as beautiful as the past.
And there are challenges awaiting in the future.
And the last person affected that anyone couldn't imagine is
′′ All Thai people in the country ′′ will contribute to this damage because the main point is that Thai Airways are cuddle state enterprises. (On the contrary, if the business profits, all Thai people will participate too).
Recently, Thai Airways have more debt than 2 hundred thousand Baht.
If you look at the only thing that you have to pay within 1 years, Thai Airways have debt to pay for 54,580 million Baht.
While the company has cash and debtors, total at 30,845 million baht.
From the latest situation, Thai Airways need to ask for more than 5 billion Baht to enhance liquidity.
And may the Ministry of Finance which is a big shareholder of 51 % guarantor.
Because if the Ministry of Finance doesn't guarantee, nobody wants to let Thai Airways recover.
That means if Thai Airways fall for real.
Thai government has a duty to pay back the money to all Thai Airways creditors. In the part that they have been to guarantee all of them.
I don't know how this will end.
Depending on the government to stop this and let it fall.
Or if the government wants to continue fighting, we have to keep thinking that Thai Airways debt may have higher numbers. And that means that Thai government will have a burden to guarantee more loan in the future.
Where will Thai Airways walk? How will it be fixed?
We will get an answer soon
In fact, the Covid-19 crisis may have its advantages.
Because it becomes a catalyst for hidden problems to be raised to be solved.
If there is no crisis, then keep fighting.
It could be more damage than today..
╔═══════════╗
Blockdit Analytical Article Source
Deep content penetrating
Recently, a podcast feature has been published.
Blockdit.com/download
╚═══════════╝
Follow to invest in man at
Website - longtunman.com
Blockdit-blockdit.com/longtunman
Facebook-@[113397052526245:274: lngthun mæn]
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram-instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
- Financial Statement of Thai Airways Public Company Limited 2562
-https://www.thaiairways.com/th_TH/rop/Earning_Miles/EarningMiles_onTHAI01.page?
-https://www.bbc.com/thai/thailand-52585852Translated
singapore government instagram 在 Sneaky Sushii Youtube 的精選貼文
Well played.
Join My Discord Server ➤ https://discord.gg/GNepR9FeYV
follow my socials:
Instagram ➤https://www.instagram.com/SneakySushii
Twitter ➤ https://www.twitter.com/SneakySushii
Facebook ➤ https://www.facebook.com/SneakySushii
like and sub if you're cool. turn on post notifs for 3 years of extra life.
thanks for watching :)
singapore government instagram 在 Royce Lee Youtube 的精選貼文
#BackToPhase2 #WhenCanGoHK
If you like my content, click here to SUBSCRIBE ❤️❤️❤️
https://www.youtube.com/c/RoyceLee?sub_confirmation=1
Check Out My Other Socials!
Facebook: http://www.facebook.com/theroycelee
Instagram: http://www.instagram.com/theroycelee
TikTok: http://www.tiktok.com/@theroycelee
Telegram: https://t.me/theroycelee
Let's spread more laughter one video at a time ?
singapore government instagram 在 DJ Macky Suson Youtube 的最佳貼文
Follow me on Instagram: instagram.com/djmackysuson/
While only 7km tall and at its bikini line 500m wide, tiny Boracay is the Philippines' top tourist draw, fuelled by explosive growth and a tsunami of hype. The influx of visitors caused the Philippines government to temporarily close Boracay to tourists for six months. This 'rehabilitation' period, was used to restore the island to its former glory and it has since reopened with a limit on the number of daily visitors. #Shorts
#VisitBoracay #BoracayIsland #BoracayPhilippines #BoracayActivities
#BoracayTourism #BoracayHotels #BoracayResorts #BoracayAirbnb #BoracayApartments