"ไม่มีหลักฐานว่า สัญญาณ Wi-Fi จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพครับ"
มีเพื่อนส่งข่าวนี้มาให้ดู (จาก https://www.facebook.com/JeenThaiNews/posts/239698794468233) ว่า "มีชายชาวเมืองชิงเต่า ประเทศจีน เขียนกระดาษโน้ต ร้องขอเพื่อนบ้านที่อยู่ชั้นบน ให้ปิดสัญญาณ Wi-Fi เนื่องจากกังวลว่า รังสีจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์ของภรรยาเขา ... จนเพื่อนบ้านต้องเขียนตอบกลับว่า จะไม่ปิดเพราะต้องใช้เรียนออนไลน์ ถ้าไม่พอใจ ก็ย้ายออกไปซะ"
อ่านแล้วก็ขำ ปนเห็นใจ ว่ายังมีคนอีกเป็นจำนวนมากแน่ๆ ซึ่งรวมถึงคนไทยด้วย ที่เชื่อว่า "สัญญาณ Wi-Fi นั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพ" ทั้งที่ไม่ได้มีหลักฐานอะไรยืนยันความเชื่อแบบนั้นเลยนะ
ลองมาดูข้อมูลเรื่องนี้กันนะครับ
1. เดี๋ยวนี้ Wi-Fi ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อให้เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย ผ่านสัญญาณคลื่นวิทยุ ตัวอย่างเช่น เราใช้คอมพิวเตอร์แล็บท๊อปต่อเชื่อมกับอินเตอร์เน็ตผ่านกล่องรับส่งสัญญาณ wi-fi ในบ้าน ในโรงเรียน หรือตามสถานที่สาธารณะ
2. ซึ่งถ้าใครอยู่ในบริเวณที่มีสัญญาณ wi-fi ก็เสมอกับกำลังได้รับ "พลังงานจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงความถี่วิทยุ (RF EME หรือ radiofrequency electromagnetic energy)" ในปริมาณน้อยๆ อยู่ตลอดเวลา จนทำให้หลายคนเกิดความกังวลขึ้นมาจะเกิดผลกระทบต่อสุขภาพจากการปลดปล่อย RF EME นี้หรือไม่
3. ระดับของการปลดปล่อยพลังงาน RF EME จาก wi-fi และอุปกรณ์สื่อสารไร้สายต่างๆ นั้น จะถูกควบคุมตามกฏเกณฑ์มาตรฐานขององค์กรที่รับผิดชอบด้านนี้ของแต่ละประเทศ (เช่น ของไทยก็คือ กสทช.) ซึ่งจะกำหนดให้ต่ำกว่าระดับที่จะมีสิทธิก่อให้เกิดอันตรายได้ เพื่อครอบคลุมความปลอดภัยต่อสุขภาพของประชาชนทุกเพศทุกวัย
4. ปรกติแล้ว จุดกระจายสัญญาณ wi-fi และอุปกรณ์สื่อสารที่ใช้ wi-fi จะมีกำลังในการรับส่งสัญญาณต่ำมาก คือแค่ประมาณ 0.1 วัตต์ (หรือเท่ากับ 100 มิลลิวัตต์) เท่านั้น
5. และหลายคนก็มักจะกลัว wi-fi เพราะคิดว่ากล่องเร้าเตอร์นั้น จะรับ/ส่งคลื่นสัญญาณออกมาอยู่ตลอดเวลา แต่จริงๆ แล้ว มันจะรับ/ส่งสัญญาณแค่ประมาณ 0.1% ของช่วงเวลาที่มันทำงานเท่านั้น หรืออาจจะมากขึ้นถ้าคุณกำลังสตรีมวิดีโอดูอยู่สดๆ แต่ยังไง ส่วนใหญ่แล้ว กล่องเร้าเตอร์นั้นมันจะไม่ได้ทำงานอะไร แค่พักระบบไว้รอให้มีการสั่งการให้รับ/ส่งสัญญาณ
6. ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเราอยู่ห่างจากกล่องเร้าเตอร์ wi-fi ออกไป ระดับของคลื่นที่เราจะได้รับเข้าสู่ร่างกายนั้นก็ยิ่งน้อยลงอย่างมีนัยสำคัญ ... หรือจริงๆ โทรศัพท์มือถือของเรา ยังส่งคลื่นสัญญาณอย่างต่อเนื่อง เป็นปริมาณที่มากกว่า Wi-fi เป็นร้อยๆ เท่า แถมโทรศัพท์มือถือยังอยู่ติดชิดกับศรีษะของเราด้วย แต่ก็ไม่พบว่ามีหลักฐานยืนยันถึงอันตรายต่อสุขภาพจากการใช้โทรศัพท์มือถือ
7. องค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ก็ยืนยันเช่นกันว่า ไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ ว่าสัญญาณ wi-fi จะมีผลกระทบใดๆ ต่อสุขภาพ (ถ้าไม่เกินระดับมาตรฐานที่กำหนดไว้)
8. ถึงกระนั้น ถ้าดูผลการศึกษาในสัตว์ทดลอง (เช่น หนูทดลอง) ที่ได้รับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากสัญญาณวิทยุนี้เป็นปริมาณมากๆ ในระยะเวลายาวนาน พบว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกในสมองได้ จนทำให้ WHO เองจัดให้คลื่นพวกนี้เป็น "สารที่อาจจะก่อมะเร็ง" (แปลว่า ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะฟันธงว่า มันก่อมะเร็งจริง)
9. อย่างไรก็ตาม ปริมาณของคลื่นที่ใช้ในการทดลองกับหนูนั้น มีค่าสูงเกินกว่าระดับที่มนุษย์เราใช้ในโทรศัพท์มือถือหรือเครือข่ายอุปกรณ์ไร้สายมากมายนัก และผลการทดลองในสัตว์ก็ไม่ได้จะสามารถเอามาตีความว่าจะเกิดขึ้นในคนได้โดยตรง
10. ดังนั้น ถ้ายังมีความกังวลเกี่ยวกับเรื่อง wi-fi ก็สามารถลดระดับของการรับพลังงาน RF EME จากการอยู่ให้ห่างจากอุปกรณ์เครื่องมือ wi-fi และลดช่วงเวลาในแต่ละวันที่ใช้อุปกรณ์ wi-fi ลง หรือแม้แต่ปิดอุปกรณ์รับส่ง wi-fi เสียเมื่อไม่ได้ใช้แล้ว
ข้อมูลจาก https://www.arpansa.gov.au/understanding-radiation/radiation-sources/more-radiation-sources/wi-fi และ https://time.com/4508432/what-is-wifi-radiation-cancer/
「understanding แปลว่า」的推薦目錄:
- 關於understanding แปลว่า 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最佳貼文
- 關於understanding แปลว่า 在 มาตัง ระดับดาว Facebook 的精選貼文
- 關於understanding แปลว่า 在 ไม่เข้าใจ อย่าพูดว่า I don't understand. - YouTube 的評價
- 關於understanding แปลว่า 在 อย่าถาม Do you understand? ห้วนมาก! | จะถามว่า “คุณเข้าใจไหม ... 的評價
understanding แปลว่า 在 มาตัง ระดับดาว Facebook 的精選貼文
🙏🏼
ขอบคุณนะคะ
คนที่พูดว่า “ขอบคุณนะที่ชม”
หลังจากที่โดนล้อเรื่องหน้าตา ผิวพรรณ รูปร่าง
ในใจมันก็เจ็บทั้งนั้นแหละ
‘ระดับดาว’ ครูเปลี่ยนให้เป็น ‘ระดับดาก’
จุดเริ่มต้นของการล้อเลียนที่เจ็บปวด เริ่มต้นจากครู
จากความสนุกของครู สู่ความทุกข์ของเด็กในวัยเรียน
ประสบการณ์จริงเรื่อง social bullying จากมาตัง ระดับดาว
written by Thanabatra Beboyl Chaidarnn
page owner: ตุ๊ดส์review / Pussy can talk
ผมมีโอกาสไปอ่านเรื่องราวใน Twitter ของน้องมาตัง ระดับดาว ศรีระวงศ์ ผู้ชนะจากรายการ the star 11 และเป็นผู้ชนะหญิงคนที่ 2 จากรายการต่อจากแก้ม เดอะสตาร์ ปัจจุบัน เธอเป็นนักร้องในสังกัด GMM Grammy เธอมาเล่าเรื่องประสบการณ์จากการถูกล้อเลียนเรื่องสีผิวให้ได้อ่านกัน
เธอเล่าว่า…
“ตอนเด็ก เคยโดนล้อเรื่องผิวดำ มาตลอด เกือบจะทั้งชีวิต แม้กระทั่งอาจารย์ยังพูดล้อเรา แล้วเพื่อนทั้งห้องก็จะหัวเราะสนุกสนาน ตอนนั้นเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นการบูลลี่หรืออะไร แต่ในใจ เจ็บมาก แม่เคยบอกว่า ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็มันเป็นเรื่องจริงหนิ
จนโตขึ้นทุกวัน ก็ยังโดนล้อ เพื่อนบางคนร้องเป็นเพลงเลย เราได้แต่ยืนทำเป็นยิ้ม ขำ กับสิ่งที่เขาล้อ เพราะแม่บอกให้ยอมรับ แล้วก็อย่าไปสนใจ จนโตขึ้น ถึงรู้ว่า มันไม่ใช่สิ่งที่เราสมควรได้รับเลย
ตอนป.1 เราเข้ารร.ประถม เป็นเด็กใหม่มาก อาจารย์ให้แนะนำตัว เราก็บอก ชื่อ ระดับดาว ศรีระวงศ์ค่ะ แล้วอาจารย์ก็แกล้ง หรือไม่ได้ยินจริงๆ ก็ไม่แน่ใจ เขาทวนชื่อเราเป็น ระดับดาก (ภาษากลาง แปลว่า ก้น)เพื่อนใหม่ขำกันทั้งห้อง ใจตอนนั้นคือ งงมาก คนจะอะไรจะชื่อนั้น
หลังจากนั้น ช่วงประถม เราก็โดนอาจารย์เรียกชื่อนั้นมาโดยตลอด ส่วนเพื่อนก็ล้อแต่ชื่อนั้น แถมยังร้องเพลง ล้อผิวดำ ของเราด้วย เอาจริงตอนนั้นคิดในใจอยู่ตลอด เวลากูผิดอะไรวะ แต่ให้ทำไงได้อ่ะ นอกจากฟังแล้วก็ยิ้มให้ บางครั้งก็ต้องหัวเราะตามเขาด้วย โคตรฝืนใจ”
เรื่องนี้สะท้อนอะไรในสังคม?
📌 สังคมไทย สังคมแห่งการเหยียด
ผมว่า สังคมไทย ยังเป็นสังคมที่คนเหยียดกันได้ง่ายๆ ทั้งเรื่องเพศ สีผิว รูปร่าง ถิ่นกำเนิด การศึกษา ฐานะ (discrimination) มีทุกที่ เด็กๆจะแซวล้อเลียนกัน เวลาเห็นเพื่อนที่ดูแตกต่างจากเรา เพราะมนุษย์มีท่าทีตอบโต้สิ่งที่แตกต่างจากตนเองเป็นปรปักษ์ อยู่ในสัญชาติญาณ แต่สิ่งที่เป็นปัญหาคือ การบ่มเพาะ ขัดเกลา และปลูกฝังของครอบครัว (socialization)
📌 การสอนเรื่องของการด่าทอแบบผิดๆ (wrong understanding)
เราดันไปบ่มเพาะว่า การถูกเหยียดเป็นเรื่องปกติที่ควรรับได้ ที่เพื่อนพูด ที่ทุกคนตีตราเรื่องสีผิว รูปร่าง มันถูกต้องแล้ว เราดำ ควรถูกล้อว่าดำ เราอ้วน ควรถูกล้อว่าอ้วน เราเป็นตุ๊ด ควรถูกกล่าวว่าเป็นตุ๊ด ทั้งๆที่จริงๆ ผู้ใหญ่ควรสอนเด็กว่าสิ่งที่เขาทำ เรียกว่าการให้ร้ายทางสังคม (social bullying) ไม่ควรทำ ไม่ควรส่งเสริมให้เกิดขึ้น เป็นสิ่งไม่ดี ไม่เหมาะสม
📌 การตอบโต้ที่ดีที่สุดคือ Victim is not a victim.
คือการไม่แสดงออกว่าเราเป็นเหยื่อของคำพูดพวกนั้น ถึงแม้เราไม่ควรด่ากลับ หรือตอบโต้ แสดงทีท่าว่าเราเป็นเหยื่อของคำพูด เราไม่เจ็บปวดให้เขาเห็น เพื่อให้เขาสนุกสนุกในการกลั่นแกล้ง แต่ข้างใน จริงๆทุกคนเจ็บปวดเสมอ ทำเป็นยิ้มแห้งๆ แต่ไม่มีใครชอบที่ถูก bully แล้วมองว่าฉันสนุกจังเลย
📌 “ต้นต่อการล้อเลียนอันน่าสลด เริ่มต้นที่ครู”
น่าแปลกที่ครู กลับเป็นจุดเริ่มต้นของการล้อเลียนทุกอย่าง ครูไม่เตือนเด็ก ไม่สอนเด็กในห้อง ไม่สร้างความเข้าใจที่ถูกให้เด็ก ที่ไปล้อเพื่อน แต่เริ่มต้นตั้งฉายา ไปตีตราความดำของเขาผ่านชื่อ เปรียบเทียบกับสิ่งต่ำๆให้เด็กขำขัน แต่เจ้าตัวคนที่โดนไม่สนุกด้วย นี่คือความผิดของครูที่ไปสร้างปมในใจเด็ก ให้รู้สึกว่าตัวเองมีสีผิวที่แปลกแยก เป็นตัวประหลาด เป็นสิ่งสกปรก โดยไปเทียบชื่อของนักเรียน กับอวัยวะขับถ่ายคือ ‘ก้น’ ส่งต่อการล้อเลียนไปในวงกว้าง ให้เด็กๆด้วยกันนำไปล้อต่อ สร้างความเจ็บปวดกับเด็กไปตลอดกาล
📌 สร้างสังคมการด่าทอ โดยเอาการล้อเล่นขำๆมาอ้าง
“ไม่เป็นไรน่า ก็แค่แซวเล่นขำๆ”
วิธีคิดของคนที่ล้อคนอื่น แต่ไม่ได้โดนเอง คือคนที่ไม่เข้าใจความเจ็บปวดของคนอื่น
เรามักจะคิดว่าไม่เป็นไร เพราะนั่นไม่ใช่ตัวเรา แต่คนที่ถูกกระทำ เจ็บ และไม่ต้องการการล้อเลียนนั้น แต่เราไม่มีทางเข้าใจเขา เราแค่สนุกปาก แต่ผู้ถูกกระทำไม่ได้สนุกด้วย และไม่มีใครควรจะสนุก เพราะความทุกข์ของคนอื่นด้วยซ้ำ และการแซว หรือการล้อเล่นกัน มีหลายวิธีมากมาย ที่น่ารัก เป็นการหยอกที่ไม่ต้องเอาอัตลักษณ์ของผู้คนมาเหยียด แล้วอ้างว่าล้อเล่น มันทำให้เกิดการสร้างสังคมการด่าทอ โดยเอาการล้อเล่นขำๆมาอ้าง
การเอาใจเขามาใส่ใจเรา (sympathy) เป็นวิธีที่ดี ซึ่งช่วยให้เราเข้าใจความแตกต่างของคนอื่นเสมอ ช่วยให้เราคิดได้ว่า ถ้าเป็นเราโดนกระทำบ้าง เราจะโอเคจริงหรือ? มันเป็นเรื่องน่าล้อเล่น น่าสนุกจริงหรือ? ตรงนี้ ทำให้เราคิดได้ง่ายขึ้น ถ้าเราเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมองเขาในแบบที่เป็นมุมกลับ เมื่อตนเองได้รับในสิ่งเดียวกัน
ผมอยากให้เรื่องราวของน้องมาตังเป็นอุทาหรณ์ ที่ให้มุมคิดสะท้อนไปยังครูบาอาจารย์ว่า อย่าล้อเด็ก หรือกระทำกับเด็กแบบที่มาตังโดนกระทำ เพราะถ้ามันเริ่มที่ครูแล้ว การไปโรงเรียนของเด็ก เหมือนตกอยู่ในนรก ที่ครูกลายเป็นผู้ส่งเสริมในทางลบและสร้างปมความทุกข์ให้เด็ก โดยที่ไม่ได้ใช้ความเข้าใจสั่งสอนคนที่ล้อและแกล้งเด็ก กลายเป็นการทับถมและสร้างการให้ร้าย ครูควรจะเป็นผู้เริ่มต้นสร้างทางออกที่ดี และเป็นที่พึ่งพิง สร้างความสุขให้กับเด็ก รู้สึกอบอุ่นใจ ไม่ใช่ผลักไสให้เขายิ่งโดนล้ออย่างสนุกสนาน
อย่าขำขัน กับเรื่องที่ไม่น่าขำ และไม่ควรขำ
และจงสมเพสตนเองที่ขำขัน กับความทุกข์ร้อนของคนอื่น
#stopsocialbullying
#handlewithsocialbullying
ที่มา: https://twitter.com/mmmatung
// ตอนเด็กๆ ผมก็โดน “ธนบัตร” ครูเรียกเป็นแปรงสีฟัน “ตุ๊ดบัตร” (พ้องกับภาษาอังกฤษ toothbrush) เรียกกันทั้งห้องสนุกสนาน จากความเป็นตุ๊ดของเรา เพื่อนและครูสนุก แต่เราไม่สนุกไง นั่นแหละ
“ทุกอย่างที่เลวร้าย หยุดได้ที่ครูสอนเป็น”
ครูต้องสอนเป็น และเป็นที่พึ่งให้เด็กได้ ไม่ใช่ร่วมล้อเลียนเด็ก สนุก ขำขัน
understanding แปลว่า 在 อย่าถาม Do you understand? ห้วนมาก! | จะถามว่า “คุณเข้าใจไหม ... 的推薦與評價
ห้วน! ❌❌ ควรถามอย่างไรให้สุภาพ เป็นมืออาชีพมากที่สุด? ครูพี่แอนมีคำตอบค่ะ — ✓เพิ่มเติม การถาม ว่า Do you understand ? อาจฟังดูซ้อฟได้ ด้วย ... ... <看更多>
understanding แปลว่า 在 ไม่เข้าใจ อย่าพูดว่า I don't understand. - YouTube 的推薦與評價
ไม่เข้าใจ อย่าพูดว่า I don't understand.#Shorts #ครูพี่แอน #freeenglish ... Literally แปลว่า อะไร ใช้ยังไง ทำไมฝรั่งใช้กันบ่อยจัง ? ... <看更多>