สรุปประเด็นจากกองทุนบัวหลวง
เปิดสูตรเฟ้นหา หุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
BBLAM x ลงทุนแมน
อังคารที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ลงทุนแมนได้ชวนผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ คุณมทินา วัชรวราทร CFA®, Head of Investment Strategy กองทุนบัวหลวง
มาพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นการเฟ้นหาหุ้นอนาคตในอเมริกาเข้าพอร์ตระยะยาว
โดยเริ่มตั้งแต่อัปเดตสถานการณ์ล่าสุดในสหรัฐอเมริกา ที่เริ่มเปิดเผยตัวเลขทางเศรษฐกิจในช่วงเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ไปจนถึงผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ ในไตรมาสที่ 2
ตัวเลขเหล่านี้กำลังส่งสัญญาณอะไร ?
เราจะมีวิธีการปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะสรุปให้ฟัง..
มาเริ่มต้นกันที่ สรุปภาพรวมเศรษฐกิจมหภาคของสหรัฐอเมริกา เกิดอะไรบ้างในช่วงที่ผ่านมา ?
ที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกา มีการทำ QE หรือ การซื้อสินทรัพย์ เช่น พันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้ เพื่อให้ระบบมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดหุ้นสามารถดำเนินต่อไปได้
โดยประเด็นหลักที่ตลาดยังคงจับตามองในปีนี้คือ การลดขนาดการเข้าซื้อสินทรัพย์ หรือที่เรียกว่า QE Tapering ซึ่งประธาน FED ออกมาพูดว่า การทำ Tapering จะเริ่มขึ้นในปีนี้ และเป็นการตัดสินใจแยกกันกับ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
หมายความว่า หากเริ่มทำ Tapering ดอกเบี้ยก็ไม่จำเป็นจะต้องปรับขึ้นในทันที
นอกจากนี้ สหรัฐอเมริกาจะยังใช้นโยบายการเงินที่ค่อนข้างผ่อนคลายต่อไป ทำให้ตลาดสหรัฐอเมริกา กลับมาเป็นขาขึ้น และเงินก็จะวิ่งเข้าหาสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง
ซึ่งทางกองทุนบัวหลวงคาดว่า FED จะค่อย ๆ ลดการทำ QE ลงโดยจะใช้เวลาประมาณ 8 เดือน และ FED มีแนวโน้มจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ในปี 2024 แต่ก็ยังเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ
ดังนั้น นโยบายโดยรวม จึงยังเอื้ออำนวยให้การลงทุนในตลาดหุ้นยังให้ผลตอบแทนได้ดีกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ ไปอีกสักระยะ
แต่ก็ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่อาจทำให้ FED ชะลอการทำ QE Tapering ได้ เช่น ตัวเลขการจ้างงาน ที่ต่ำกว่าตลาดคาดการณ์ไปมาก
อีกหนึ่งประเด็นที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง คือ เงินเฟ้อ ที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 5.4%
ถึงแม้ว่า ราคา สินค้าโภคภัณฑ์บางตัว ลดลงมาแล้ว เช่น ราคาไม้ ทองแดง แต่ราคาบ้านและค่าเช่าบ้านในสหรัฐอเมริกาที่ยังไม่ลดลงมา ก็อาจทำให้เงินเฟ้อยังคงสูงได้
แล้วโหมดการลงทุนช่วงนี้ต้องปรับ หรือจับสัญญาณต่ออย่างไรดี ?
กองทุนบัวหลวงก็เชื่อว่าในระยะสั้น เงินจะยังไหลเข้าสู่สินทรัพย์เสี่ยงอย่างต่อเนื่อง และเงินยังอยู่ในหุ้นสหรัฐอเมริกา
โดยในเดือนที่ผ่านมา ผู้จัดการกองทุนหลายรายในสหรัฐอเมริกาเข้าลงทุนกลุ่ม Healthcare มากที่สุด
จากความต้องการหาการลงทุนในเชิงคุณภาพ และหุ้นใหญ่ที่ปลอดภัย และที่ผ่านมากลุ่ม Healthcare ยังถือเป็นกลุ่มที่ Laggard หรือเติบโตได้ช้า เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่น
แต่ถ้าหากดูกลุ่มที่ผู้จัดการกองทุนมีการถือครองมากที่สุด ก็ยังคงเป็นกลุ่มเทคโนโลยี
ถ้าเทียบระหว่างเทคโนโลยีที่เป็น Hypergrowth อย่างเช่น หุ้น Tesla, Roku, Shopify กับ ดัชนี Nasdaq ที่ เป็นหุ้นเทคโนโลยีใหญ่ ๆ เช่น Microsoft, Facebook, Amazon ก็จะเห็นว่าในภาพรวม เงินไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth มาเข้าฝั่ง Nasdaq
ซึ่งปริมาณเงินส่วนที่ไหลเข้ามาในตลาด Nasdaq ยังอยู่ที่ประมาณค่าเฉลี่ย ซึ่งหมายความว่า ไม่น่าเกิดฟองสบู่หุ้นเทคโนโลยี อย่างที่หลายคนกังวล
โดย Nasdaq ให้ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีเพิ่มมา 18% ประกอบกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ยังมีผลกำไรที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
กองทุนบัวหลวงมองว่า หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีได้ต่อไป แต่อาจต้องใช้วิธี Active Management หรือการบริหารพอร์ตเชิงรุก เพื่อหาบริษัทที่มูลค่ายังไม่สูงเกินไป
นอกจากนั้น กองทุนบัวหลวงยังมองว่าในสามเดือนสุดท้ายของปีนี้ เงินจะยังอยู่ในฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น เนื่องจากมีความสามารถในการบริหารจัดการโควิด 19 ได้ดี และมีอัตราการฉีดวัคซีนสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เศรษฐกิจกลับคืนสู่ภาวะปกติได้เร็ว
สำหรับรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนสหรัฐอเมริกา ในไตรมาสที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตได้ดีมาก
ผลกำไรภาพรวมของตลาด ออกมาสูงกว่าตลาดคาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีความเสี่ยงและความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ จากห่วงโซ่การผลิตที่มีปัญหาและค่าจ้างที่สูงขึ้น ซึ่งกองทุนบัวหลวงมองว่า เป็นเพียงระยะสั้น และจะคลี่คลายในระยะปานกลางจนกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
คำถามต่อมาคือ S&P 500 จะสามารถไปได้ต่ออีกหรือไม่ และแพงไปแล้วหรือยัง ?
ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นมา ตามกำไรของบริษัทที่ปรับตัวดีขึ้นมาต่อเนื่อง และนักวิเคราะห์มีการปรับประมาณการเป้าหมาย S&P 500 เป็น 4,600 (ตอนนี้อยู่ที่ราว ๆ 4,500) หมายความว่า ดัชนี S&P 500 จะยังคงไปต่อได้
อีกทั้งสหรัฐอเมริกายังเป็นตลาดการเงินที่สภาพคล่องสูงที่สุดในโลก รวมไปถึงมีบริษัทที่มีคุณภาพดีมากที่สุดในโลก ทำให้ P/E ที่ 20 เท่า ก็ยังสามารถลงทุนได้
แล้วควรลงทุนเมื่อไร ดอกเบี้ยขึ้น จับจังหวะอย่างไร ?
ถ้าเราลองย้อนไปดูสถิติ 12 เดือนก่อนที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ย จะเห็นว่าตลาดสามารถปรับตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง และสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกหลังจากที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นครั้งแรก
โดยกองทุนบัวหลวง แนะนำหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจ คือให้เข้าสะสมแบบมีวินัย ลงทุนแบบสม่ำเสมอ หรือ DCA เนื่องจากการจับจังหวะตลาดสหรัฐอเมริกา หรือไม่ว่าตลาดไหน ๆ เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก
ทีนี้หลายคนคงกังวลว่า เงินทุนเริ่มไหลออกจากกลุ่ม Hypergrowth แล้วเงินส่วนนี้ย้ายไปอยู่ที่ไหน ?
จากที่ได้กล่าวมาข้างต้น คือปัจจุบัน เงินทุนไหลออกจากหุ้นในกลุ่ม Hypergrowth แต่ปรากฏว่าดัชนี Nasdaq นั้นยังคงปรับตัวสูงขึ้น ที่เป็นแบบนี้เพราะเงินกำลังไหลไปยังบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ๆ นั่นเอง
หลายคนอาจมองว่า บริษัทเหล่านี้น่าจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด 19 แต่กลับกลายเป็นว่า จากวิกฤตินี้ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น
โดยสังเกตได้จากรายได้ของบริษัทเทครายใหญ่ ที่ยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องของแผนในอนาคตที่น่าจับตามอง ทำให้นักลงทุนยังคงให้ความสนใจ
ยกตัวอย่างเช่น บริษัท Facebook และ Microsoft
Facebook เป็นบริษัทเจ้าของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, WhatsApp ที่มีรายได้หลักมาจากค่าโฆษณาออนไลน์
โดยจุดเด่นของ Facebook คือ ความสามารถในการยิงโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากกว่าคู่แข่งรายอื่น ๆ พร้อมทั้งยังมีโอกาสเติบโตไปกับอุตสาหกรรมสื่อออนไลน์อีกมาก เนื่องจากโควิด 19 ก็เป็นตัวเร่งที่ทำให้คนหันมาพึ่งเทคโนโลยีกันมากขึ้น
สำหรับแผนในอนาคตของ Facebook นั้นยังคงเป็นเรื่องของแผนการปรับตัวให้บริษัทเป็น บริษัท “Metaverse” หรือโลกแห่งการผสมผสาน ระหว่างโลกจริงและโลกเสมือน อย่างเต็มตัว
โดย มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก CEO ของ Facebook มองว่า โลกของ Metaverse จะกลายเป็นอนาคตของโลกอินเทอร์เน็ต โดยล่าสุดก็ได้มีการเปิดตัว Horizon Workrooms ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปประชุมได้แบบเสมือนจริง ผ่านตัวละคร Avatar
มาต่อกันที่บริษัทซอฟต์แวร์ที่เราคุ้นเคยกัน อย่าง “Microsoft” ซึ่งในปีที่ผ่านมายังคงได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมูลค่าบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ก็เนื่องมาจาก ผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมา ที่ยังคงเติบโต 17% จากบริการ Intelligence Cloud ที่เติบโตได้ดี
แต่ที่น่าสนใจคือเรื่องของแผนในอนาคต อย่างการทำโลกเสมือน หรือที่ทาง Microsoft เรียกว่า Digital Twin ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับการทำ Metaverse ของ Facebook แต่จะเป็นการก๊อบปี้ของจริงมาไว้บนโลกออนไลน์แทน เช่น จำลองสถานที่ จำลองตึก เพื่อนำมาใช้ทดสอบการบินของโดรนก่อนเอาออกไปใช้งานจริง
ทั้งนี้ในส่วนของ Theme โลกเสมือนนั้น อาจมีความเสี่ยง เรื่องที่จะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย กว่าที่เราจะได้สัมผัสแบบเต็ม ๆ
แต่นี่เป็นเหมือนการส่งสัญญาณว่าบริษัทเทคโนโลยีหลายรายกำลังตื่นตัวกับการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และมีการเตรียมพร้อม มองหาช่องทางการเติบโตใหม่ ๆ หรือที่เรียกว่า New S-Curve อยู่ตลอดเวลา
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วว่า แล้วกระแสเงินลงทุนที่ดูมีการเปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางเช่นนี้ จะมีผลกระทบกับกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE แค่ไหน ?
สำหรับกองทุน B-USALPHA นั้น หลายคนอาจจะคิดว่ากองนี้มีแต่ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างเดียว
แต่ถ้ามาดูสัดส่วนของหุ้นในพอร์ตการลงทุนนั้นจะพบว่า กองทุนพยายามให้ความสมดุลระหว่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี กับกลุ่มวัฏจักรในสหรัฐอเมริกา โดยกองทุนนี้มีแบ่งส่วนการลงทุนด้วยกันหลัก ๆ 3 อย่าง คือ
1. กลุ่ม Digital Advertising เช่น Facebook, Pinterest, Snap
2. กลุ่ม สถาบันการเงิน เช่น Morgan Stanley, PayPal, Square
3. กลุ่ม Technology Enabled หรือก็คือ ธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีสร้างนวัตกรรม เช่น Deere & Company, Freeport-McMoRan, Zillow Group
ทั้งกลุ่ม Digital Advertising และ Technology Enabled นั้นยังมีโอกาสเติบโตไปพร้อมกับการเปิดเมือง
ส่วนการลงทุนในกลุ่มสถาบันการเงิน จะช่วยสร้างสมดุล และลดความเสี่ยงของพอร์ตในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่อาจปรับตัวสูงขึ้น ที่ทำให้กลุ่มของธุรกิจสถาบันการเงินนั้นได้รับประโยชน์ไปด้วย จากอัตราดอกเบี้ยที่จะปรับสูงขึ้น
ส่วนกองทุน B-FUTURE นั้น มีการกระจายลงทุนในธุรกิจ 3 กลุ่มคือ เทคโนโลยี Hypergrowth, อุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจ Theme เปิดเมือง
โดยในส่วนของกลุ่ม Hypergrowth นั้น ทางผู้จัดการของกองทุน ก็ได้เน้นอย่างมาก กับการลงทุนในหุ้นที่ยังมี Valuation ไม่สูงจนเกินไป
นอกจากนี้ ทางกองทุนยังเน้นการลงทุนใน Theme อนาคต ไม่ได้เจาะจงในประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยมีผู้จัดการกองทุนที่คอยปรับพอร์ตตามสถานการณ์การลงทุนต่าง ๆ
ด้วยนโยบายการบริหารแบบ Active Management ทำให้ B-FUTURE สามารถปรับเปลี่ยนพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์เศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา
เช่น หากมองว่าในระยะยาว หุ้นกลุ่มเอเชียหรือจีน ยังมีโอกาสเติบโตมาก ความกดดันของรัฐบาลจีนคลี่คลายลง แล้วยังมี Valuation ที่ไม่สูงเกินไป ทางกองทุนก็สามารถปรับน้ำหนักพอร์ตมาลงในหุ้นเอเชียหรือจีนเพิ่มขึ้นได้
ทำให้เห็นว่า B-FUTURE นั้นเป็นกองทุนที่สามารถทยอยสะสมเข้าได้เรื่อย ๆ และเหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลามาก แต่อยากลงทุนในหุ้นแห่งอนาคต
สำหรับใครที่กำลังมองหาโอกาสในการลงทุน จากหุ้นในสหรัฐอเมริกา หรือหุ้นใน Theme อนาคต
ทั้งกองทุน B-USALPHA และ B-FUTURE ก็ยังเป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถสร้างผลตอบแทน ได้โดยมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล พร้อมคอยปรับพอร์ตการลงทุนให้ในระยะยาว ซึ่งการใช้กลยุทธ์ DCA ทยอยลงทุนทุกเดือนก็เป็นวิธีการที่น่าสนใจ
คำเตือน
การลงทุนมิใช่การฝากเงินและมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจไม่ได้รับเงินลงทุนคืนเต็มจำนวนเมื่อไถ่ถอน (ไม่คุ้มครองเงินต้น) / ผู้ลงทุนต้องศึกษาและทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน / กองทุนที่มีการลงทุนในต่างประเทศมิได้มีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด ทั้งนี้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ดังนั้นผู้ลงทุนอาจขาดทุนหรือได้กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าว หรืออาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
zillow instagram 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
เมื่อกองทุน ARK กำลังร้องอ๊าก /โดย ลงทุนแมน
ARK Invest ของคุณ Cathie Wood ถือเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ETF
ที่โฟกัสการลงทุนในบริษัทเจ้าของนวัตกรรม และเทคโนโลยีที่เชื่อว่าจะกลายเป็นผู้นำในอนาคต
ที่แม้จะสร้างผลตอบแทนถล่มทลายปีที่แล้ว
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าธุรกิจที่ ARK เข้าไปลงทุนเริ่มเผชิญกับแรงเทขายอย่างหนัก
จากความกังวลในเรื่องราคาที่พุ่งสูงเกินไปของหุ้นแต่ละบริษัทที่กองทุนถือครองอยู่ และเรื่องอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลที่เพิ่มสูงขึ้น
เราลองมาดูกันว่า ARK ลงทุนในอะไรบ้าง
แล้วจากมูลค่าสูงที่สุดเมื่อเดือนที่แล้ว
บริษัทเหล่านั้นมีมูลค่าลดลงมามากขนาดไหนในเวลาไม่ถึงเดือน ?
Genomic Revolution ETF หรือ ARKG -24%
ตัวอย่างบริษัทที่เข้าไปลงทุน
Teladoc Health -36%
Regeneron Pharmaceuticals -32%
Twist Bioscience -41%
Next Generation Internet ETF หรือ ARKW -20%
ตัวอย่างบริษัทที่เข้าไปลงทุน
Tesla -28%
Square -20%
Roku -25%
ARK Innovation ETF หรือ ARKK -24%
ตัวอย่างบริษัทที่เข้าไปลงทุน
Tesla -28%
Teladoc Health -36%
Zillow Group -32%
จากเรื่องทั้งหมดนี้ เราจะเห็นได้ว่า ไม่ว่ากองทุนที่มีประวัติผลการดำเนินงานที่เลิศหรูเพียงใด ก็มีโอกาสที่จะเจอความผันผวนระหว่างทางได้
โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีแต่ทุกคนพูดถึงแต่กองทุนนั้นว่ามีผลงานดีเยี่ยมเพียงใด นั่นอาจหมายความว่าเป็นสัญญาณที่บอกว่า มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะนักที่จะไปลงทุนในกองทุนที่แสดงผลงานได้ดีเยี่ยมแบบสุดๆ เพราะมันอาจจะขึ้นมามากแล้ว
พอถึงตรงนี้หลายคนที่ลงในกองทุนนี้อยู่ก็คงบอกว่า พวกเขาลงทุนในระยะยาว ไม่ได้สนใจความผันผวนระยะสั้น
ถ้าจะให้พูดถึง ความผันผวนว่ากองทุนนี้มีมากขนาดไหน
โดยปกติแล้ว กองทุน จะมีตัวชี้วัดความผันผวน คือ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และ ความลึกจากจุดสูงสุดที่ลงมาได้ (Drawdown)
ก็ต้องบอกว่ากองทุนนี้มีทั้ง Standard Deviation และ Drawdown ที่อยู่ในระดับสูงมาก เมื่อเทียบกับกองทุนอื่น
หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า ถ้าจะถือกองทุนนี้ ก็ต้องรับให้ได้ว่าระหว่างทาง เงินจะหายไปได้ในระดับที่เราตกใจได้มากเมื่อเทียบกับกองทุนโดยทั่วไป เช่น เรื่องที่เกิดขึ้นจริงในตอนนี้คือ -24% จากกลางเดือนที่แล้ว หรือ จากเงิน 100,000 บาท เหลือ 76,000 บาท ภายในเวลาไม่ถึงเดือน
คำถามที่สำคัญ สำหรับพวกเราก็คือ
เรารู้หรือยัง ว่ามันมีความเสี่ยงแบบนี้ที่จะเกิดขึ้นได้ ก่อนที่จะลงทุน?
ถ้ายังไม่รู้ เราก็อาจจะต้องร้องอ๊ากเหมือนชื่อกองทุน..
หมายเหตุ: บทความนี้ไม่ได้ชี้นำให้ซื้อหรือขายกองทุนดังกล่าว การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาข้อมูลให้ครบถ้วนก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
zillow instagram 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
ฟูกูโอกะ อีกหนึ่งเมืองที่อยากเป็น ซิลิคอน แวลลีย์ /โดย ลงทุนแมน
หลังจากที่เราได้เห็นความสำเร็จของซิลิคอน แวลลีย์
ที่อ่าวซานฟรานซิสโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
หลายประเทศก็เริ่มตื่นตัว และได้มุ่งเข้าสู่การพัฒนาพื้นที่
สำหรับการคิดค้นธุรกิจแห่งอนาคตเป็นของตัวเองอย่างจริงจัง
หนึ่งในประเทศที่ทำสำเร็จแล้วก็คือ ประเทศจีน
ที่ได้เมืองแห่งการก๊อบปี้อย่างเชินเจิ้น
จนกลายมาเป็นเมืองแห่งนวัตกรรมระดับโลก
แล้วถ้าถามว่าที่ประเทศญี่ปุ่น
ที่เป็นอีกหนึ่งประเทศแห่งนวัตกรรม
มีซิลิคอน แวลลีย์ หรือไม่ คำตอบก็คือ “มี”
แล้วซิลิคอน แวลลีย์ ของประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ไหน?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ซิลิคอน แวลลีย์ ของประเทศญี่ปุ่นตั้งอยู่ที่ เมืองฟูกูโอกะ
เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณตอนเหนือของเกาะคิวชู
โดยมีเนื้อที่ประมาณ 4,986 ตารางกิโลเมตร
และมีประชากรอยู่ราว 5.5 ล้านคน
เปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว
ก็คือ เมืองฟูกูโอกะ มีพื้นที่เท่ากับจังหวัดตรัง
แต่มีประชากรมาก เท่าๆ กับกรุงเทพมหานคร
โดยเรื่องราวของการพัฒนาเมืองฟูกูโอกะให้เป็น ซิลิคอน แวลลีย์ ของญี่ปุ่นนั้น
เกิดขึ้นจาก แรงบันดาลใจของโซอิชิโร ทาคาชิมะ ผู้เป็นนายกเทศมนตรีของจังหวัด
ในขณะที่เที่ยวชม เมืองซีแอตเทิล ประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยเขาก็สังเกตได้ว่า เมืองซีแอตเทิลมีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่คล้ายคลึงกับ “เมืองฟูกูโอกะ”
ซึ่งถูกโอบล้อมด้วย ภูเขา และทะเล และมีพื้นที่กว้างขวาง
และซีแอตเทิลก็ยังเป็นสถานที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยี และสตาร์ตอัประดับยูนิคอร์นมากมาย
ยกตัวอย่าง เช่น Expedia, Convoy, Zillow และ PopCap Games
นั่นจึงทำให้ ทาคาชิมะ มีความคิดที่จะพัฒนาเมืองฟูกูโอกะ
ให้มีจุดเด่นในรูปแบบที่คล้ายคลึงกับซีแอตเทิล และจะพัฒนาเมืองให้กลายเป็นฮับ
ที่จะดึงดูดให้บริษัทต่างชาติ และนักลงทุนเข้ามาลงทุน
เหมือนอย่างซิลิคอน แวลลีย์ ที่อ่าวซานฟรานซิสโก
หลังจากได้ภาพใหญ่แล้ว ทาคาชิมะ ก็ได้กลับไปปรึกษากับรัฐบาลญี่ปุ่น เกี่ยวกับคอนเซปต์ดังกล่าว
ต่อมาในปี 2014 หรือราว 6 ปีก่อน ทางรัฐบาลญี่ปุ่นก็ได้อนุญาต
และจัดตั้งให้เมืองฟูกูโอกะ เป็น “เขตยุทธศาสตร์พิเศษสีเขียว”
โดยเขตยุทธศาสตร์ที่ว่านี้ รัฐบาลก็จะผลักดันการประกอบธุรกิจในรูปแบบสตาร์ตอัป
โดยเน้นการใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการประหยัดพลังงงาน นวัตกรรม
ที่จะพัฒนาเป็นเขตพื้นที่เชื่อมต่อระหว่างบริษัทสตาร์ตอัปของญี่ปุ่น และเอเชีย
แล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นกระตุ้นการลงทุนในเมืองฟูกูโอกะอย่างไร?
- การเรียกเก็บภาษีที่น้อยลง กับบริษัทสตาร์ตอัป และบริษัทจดทะเบียนของผู้ประกอบการชาวต่างชาติ
- มีการผ่อนผันเรื่องของวีซ่าธุรกิจแบบพิเศษ สำหรับนักลงทุน หรือเจ้าของกิจการชาวต่างชาติ
- การโปรโมต จัดหาทุน ให้กับบริษัทสตาร์ตอัป โดยรัฐบาลญี่ปุ่น
แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้ฟูกูโอกะ
มีความได้เปรียบในการเติบโตด้านนี้?
เรื่องแรกก็คือ อัตราส่วนของประชากรที่มีอายุเฉลี่ยที่น้อยกว่า เมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่น
ซึ่งนั่นก็หมายถึงเด็กรุ่นใหม่ หรือวัยรุ่นที่นี่ น่าจะให้ความสนใจกับธุรกิจเกิดใหม่
และธุรกิจแห่งอนาคตมากกว่า
เรื่องถัดมาก็คือ ด้วยความที่ฟูกูโอกะมีต้นทุนค่าเช่าที่ถูกกว่า
เช่น ค่าเช่าสถานที่อยู่อาศัย และออฟฟิศ มีราคาที่ต่ำกว่าโตเกียวถึง 60%
นั่นจึงทำให้บริษัทขนาดเล็ก มีต้นทุนในการทำธุรกิจต่ำกว่า
เมื่อเทียบกับการไปก่อตั้งธุรกิจในเมืองธุรกิจอย่างโตเกียว
นอกจากนี้ เมืองฟูกูโอกะก็ยังจัดเป็นเมืองที่การเดินทางข้ามประเทศที่สะดวก และราคาถูก
กล่าวคือ ผู้ประกอบการจากเมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน จะใช้เวลาเดินทางเพียงแค่ 2 ชั่วโมง
และผู้ประกอบการจากกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้เพียงแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
หากเทียบกับการเดินทางไปยังกรุงโตเกียว จะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง
ซึ่งนอกจากเรื่องของการเป็นเขตยุทธศาสตร์แล้ว
ปัจจุบัน เมืองฟูกูโอกะ ก็ยังเป็นฐานการผลิตของบริษัทชื่อดังหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็นฐานการผลิตของอุตสาหกรรมชิป และนวัตกรรมของบริษัทญี่ปุ่นยักษ์ใหญ่ เช่น Fujitsu, Ricoh, Hitachi และ Sony รวมถึงเป็นฐานการวิจัยของบริษัทยา เช่น Aqumen Biopharmaceuticals และ Kyushu Medical
นอกจากนี้ ฟูกูโอกะก็ยังเป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่สำคัญให้กับบริษัท Denso และ Mitsui รวมถึงฐานการผลิตรถยนต์ที่สำคัญของ Nissan และ Toyota ที่ผลิตออกมามากกว่า 1.5 ล้านคันต่อปี อีกด้วย
มาถึงตรงนี้ เมืองฟูกูโอกะ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเมืองที่ตั้งใจจะเป็น ซิลิคอน แวลลีย์ ที่น่าจับตามอง
คำถามที่น่าสนใจต่อมาก็คือ
แล้วเมืองซิลิคอน แวลลีย์ประเทศไทย จะมีหน้าตาอย่างไร
และจะตั้งอยู่ในจังหวัดไหนดี..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.thebalance.com/what-is-silicon-valley-3305808
-https://www.bbc.com/future/article/20190508-why-fukuoka-is-japans-most-innovative-city#:~:text=Fukuoka
-https://fortune.com/2019/07/23/fukuoka-japan-silicon-valley/
-https://growth-next.com/en/company
-https://www.ditp.go.th/contents_attach/212494/212494.pdf
-https://www.jetro.go.jp/invest/region/fukuoka/
-https://www.pref.fukuoka.lg.jp/soshiki/
-https://www.ft.com/content/664a34d6-9e12-11e7-8b50-0b9f565a23e1
-https://worldpopulationreview.com/world-cities/fukuoka-population
-https://www.stat.go.jp/english/data/handbook/pdf/2019all.pdf