#Covidวันนี้อาจส่งตรงถึงบ้าน
ถึงแม้Lockdownก็อาจไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด
ข้อสังเกตจากตอนหมอไปช่วยดูแลคนไข้ติดเชื้อโควิดที่ Hospitel
ตอนนี้อาจเป็นเราเอง ที่เปิดประตูให้โควิดเข้ามาหาเองเลยโดยไม่รู้ตัวเลย ก่อนหน้านี้เราเคยกลัวกันว่า บรรดาอาหารที่เราสั่งมาส่งถึงบ้านจะนำเอาเชื้อโควิดมาให้ได้หรือไม่
แรกๆ อาจจะเป็นแค่ทฤษฎี แต่เราไม่ได้ lockdown เต็มที่เหมือนทุกวันนี้ ที่การแพร่ของเชื้อมีไปทุกหนแห่งและความสามารถของสายพันธุ์ Delta ที่ติดได้ง่ายมาก
แต่จากที่ซักประวัติคนไข้โควิดในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมที่ Hospitel ต้องบอกเลยว่าแนวคิดนี้เป็นไปได้แน่นอน! มีคนไข้สัดส่วนที่สูงพอสมควรที่บอกว่าอยู่กับห้องตลอด อยู่คนเดียว อาจจะทำงานหรือเรียน online ทุกคนล้วนกลัวว่าจะติดโควิด สั่งแต่อาหารมาทาน และวันดีคืนดีก็มีอาการไข้ ไอ คล้ายหวัด แต่พอมาตรวจ ก็พบว่าเป็นโควิดไปเรียบร้อย
คนที่ทำงานที่บ้าน ไม่ออกไปไหนเลย สั่งอาหารมาทานอย่างเดียว ถึงเวลานี้ก็บอกได้เต็มปากเต็มคำ ว่ายังไม่ปลอดภัย
เหตุผลเพราะไวรัสพวกนี้อาจติดตามพื้นผิวต่างๆได้เป็นเวลานานพอสมควร
#โอกาสที่จะสัมผัสเชื้อคือเมื่อรับของจากข้างนอก (สันนิษฐาน)
- จากมือของ Rider
- จากภาชนะหรือถุงที่ใส่
- ช้อนส้อมพลาสติกที่แถมมาให้ (ถ้าตอนบรรจุไม่สะอาด)
- จากอาหารที่สั่งมามีการปนเปื้อนไม่รู้ตัว
ดังนั้นรับของรับอาหารมา ต้องใส่ mask เสมอ รับมาแล้วก็อาจทำเช็ดทำความสะอาดหรือไม่ก็ล้างมือของเราบ่อยๆ และที่สำคัญ #ต้องอุ่นให้ร้อนก่อนที่จะทานเพื่อความแน่นอน
พวกอาหารที่ไม่ผ่านความร้อน หรือต้องใช้มือหยิบเพื่อบรรจุ เช่นแนวที่ต้องมีคนหั่น สับ และเอามือโปะลงบนข้าว อันนี้ก็ลุ้นกันเอาเองละกัน ว่าคนสับจะมีเชื้อหรือเปล่า เพราะว่าต้องใช้มือจับสับอาหาร ระหว่างทำอาจเอามือขึ้นมาเกาหน้าหรือขยับหน้ากากก็ได้ ดังนั้นแม้ใส่ถุงมือก็ไม่ได้ช่วยอะไร เพราะเชื้อจะไปถึงอาหารได้อยู่ดี
ดังนั้นยังไงการอุ่นร้อนอีกรอบก็ปลอดภัยที่สุด!! รวมถึงการล้างจาน ช้อน ส้อม ก่อนทานทุกครั้งด้วยนะครับ
ถ้ากักตัวอยู่ตลอดแล้วมีไข้ ไอ เจ็บคอ โอกาสตอนนี้สูงมาก ว่าจะเป็นโควิด เท่าที่หมอเห็นคนรอบตัว เรียกว่ามากกว่า 50% ว่าหากมีโอกาสคล้ายหวัด ไปตรวจมักจะเจอว่าเป็นโควิด (แต่ถ้าตามสถิติก็ประมาณ 20% ซึ่งโอกาสถูกสูงกว่าการซื้อหวยมากมาย) ดังนั้นอย่าวางใจ อย่างน้อยมีชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) อยู่กับบ้านก็จะดีกว่า
#วัคซีนทุกชนิดช่วยได้แน่นอน
จากที่หมอรีวิวคนไข้ที่ติดเชื้อโควิด ที่เห็นความต่างชัดๆเลยคือ คนที่ฉีดวัคซีนแล้ว มักจะติดแล้วอาการน้อย ยิ่งคนที่ฉีดสองเข็มแล้ว อาการยิ่งน้อย ประมาณไอ เจ็บคอธรรมดา อาจจะมีไข้แค่วันสองวันเท่านั้น
การที่จะรอวัคซีน mRNA จนไม่ยอมฉีดอะไรเลย ณ ตอนนี้น่าจะถือว่าเสี่ยง เพราะไวรัสมันมาถึงบ้านได้ตลอดเวลาแล้วทุกวันนี้ ฉีดวัคซีนที่มึ ไม่ว่าจะ sinovac sinoppharm astra อะไรก็ได้ที่ได้ฉีดก่อนก็รีบเอาเลย เพราะวัคซีน mRNA น่าจะอีกนานพอสมควรสำหรับประชาชนทั่วไป
#วัคซีนไม่ได้ฆ่าไวรัส
เซลภูมิคุ้มกันตัวเองต่างหากที่ฆ่า ดังนั้นการฉีดวัคซีนคือการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หมายถึงการสร้างความจำให้กับเซลทหารภูมิคุ้มกันของเรา เพื่อจะได้จดจำได้ว่าสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาคือไวรัสโควิด จะได้รีบจัดการให้สิ้นซากก่อนที่จะแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย เพราะหากไม่มีภูมิคุ้มกัน เวลาไวรัสโควิดเข้ามาในร่างกาย เซลภูมิคุ้มกันเราก็จะยังไม่รู้จัก จนกระทั่งไวรัสโควิดออกฤทธิ์อาละวาดทำร้ายเซลอื่นในร่างกายเราแล้ว จึงจะค่อยรู้จัก ซึ่งอาจจะช้าเกินไป
#ทำไมเวลาผ่านไปอาการหนักขึ้น
เวลาไวรัสโควิดเข้ามาบุกรุกร่างกาย เซลที่ถูกไวรัสกินจะแตกและเกิดลูกหลานไวรัสเพิ่มขึ้น ทำให้เซลเม็ดเลือดขาวและระบบภูมิคุ้มกันเราต้องไปต่อสู้ หากร่างกายเราไม่รู้จักว่าตัวไหนคือโควิด มันก็สู้แบบคนตาบอดหรือยิงกราดไปหมด ทำให้เรามีอาการไข้ ไอ เหนื่อย เนื่องจากเป็นผลจากการต่อสู้ระหว่างไวรัสและทหารภูมิคุ้มกันของร่างกายเรา
หากยิ่งเวลาผ่านไป ไวรัสยิ่งขยายพันธุ์ ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายเราก็ยิ่งทำงานหนัก แม้จะรู้แล้วว่าใครเป็นใคร แต่เชื้อโรคจำนวนมันเยอะแล้ว ทำให้ร่างกายเราไข้ขึ้น อาการก็มากขึ้นเรื่อยๆ หากเราควบคุมโรคไม่ได้ เชื้อโรคก็ชนะ เพราะโจมตีไปทุกส่วนจนไม่เหลืออะไร และเราก็จะตายไป
#การฉีดวัคซีนคือการสร้างเซลทหารภูมิคุ้มกันที่จำโควิดได้
ดังนั้นวัคซีนที่ดี จะกระตุ้นภูมิไดัมาก ทำให้มีทหารที่รู้จักโควิดเป็นอย่างดีและพร้อมรบมาก เวลาไวรัสเข้ามา ก็จะถูกตรวจพบได้ง่ายและถูกทำลายอย่างรวดเร็ว จนไม่มีอาการ แบบนี้แหละที่เรียกว่ามีภูมิคุ้มกัน
ส่วนวัคซีนเทคโนโลยีเดิม ช่วงแรกอาจสร้างเซลทหารได้เหมือนกัน แต่อาจไม่มากเท่าวัคซีน mRNA แต่อย่างน้อยก็สร้างกองกำลังภูมิคุ้มกันได้ระดับหนึ่ง และอาจจะจำเพาะกับไวรัสรุ่นเดิม ทำให้ไวรัสเดลต้าเข้ามา จึงแพร่กระจายและมีอาการได้ แต่ในเมื่อมีทหารอยู่บ้าง การปรับตัวก็เร็ว และต่อสู้ได้ดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่าก็ย่อมดีกว่าไม่มีเลย
#คนแข็งแรงทั่วไปแม้จะติดก็มักจะหาย
น่าจะเกิน80%ที่หายเองได้ ต้องยกเครดิตให้เซลทหารภูมิคุ้มกันของร่างกายนี่เลย เพราะในที่สุด ภูมิคุ้มกันเราก็จะพัฒนาศักยภาพตัวเองจนสามารถ ป้องกันตัวเราเองได้ ถึงไม่ได้ฉีดวัคซีน ในคนที่แข็งแรงก็อาจจะพอสู้กับไวรัสโควิดไหว เพราะเจอเยอะเหมือนกัน
แต่จะลุ้นทำไมถ้าเราเข้าถึงวัคซีนได้…ปัญหาคือวัคซีนมีให้ฉีดรึเปล่า
#ยาFavipiravirก็ไม่ได้ฆ่าไวรัส
แต่คือการหยุดการขยายตัวของไวรัส เพื่อรอให้ให้เซลทหารภูมิคุ้มกันเราไปจัดการ การได้ยาเร็ว คือการหยุดไวรัสไม่ใหัขยายจำนวนในช่วงแรก เพราะยาไม่ได้ฆ่าไวรัสแต่อย่างใด
คนที่กำจัดไวรัสแท้จริงแล้วคือทหารเซลภูมิคุ้มกันของเรานี่เอง ดังนั้นการให้ยา favipiravir เร็วจึงสำคัญมาก แต่ถ้าให้ช้าเหมือนไวรัสขยายตัวจนเยอะแยะไปหมด ยา Favipiravir ก็อาจจะไม่มีประโยชน์ แถมทำให้ดื้อยาได้ด้วย ซึ่งทางการแพทย์เรากลัวการดื้อยาของไวรัสมาก เพราะจะทำให้อาวุธที่เรามี กลายเป็นของเด็กเล่นไปเลย
#ฟ้าทะลายโจรก็ไม่ได้ฆ่าไวรัสแต่มีประโยชน์
ทานเพื่อลดการอักเสบ ซึ่งเปรียบเสมือนการเคลียร์พื้นที่ให้ทหารเซลภูมิคุ้มกันเราเข้าไปสู้กับไวรัสได้ง่ายและเร็วขึ้น
เวลาทหารภูมิคุ้มกันปะทะกับไวรัส ย่อมเกิดความเสียหาย ก็ออกมาในรูปของปอดที่ถูกทำลาย หรือปอดบวม เพราะไวรัสมันกินเซลปอดของเรา เซลที่ถูกทำลายจะเกิดการอักเสบเปรียบเหมือนอาคารถูกไฟไหม้จากการยิงอาวุธหนัก ฟ้าทะลายโจรจะไปช่วยดับไฟให้ และทำให้เซลทหารภูมิคุ้มกันทำการค้นหาไวรัสต่อไปง่ายขึ้น
#สรุปจากการซักประวัติคนไข้ตอนอยู่เวรHospitel
1. การติดเชื้อโควิดแม้อยู่บ้านไม่ออกไปไหนเลยคือเรื่องจริง
2. การส่งอาหารจากdelivery มีโอกาสที่จะมีไวรัสโควิดติดมาด้วย ตอนนี้น่าพอประมาณ จึงควรอุ่นร้อนก่อนทานทุกครั้ง
3. วัคซีนฉีดไปเถอะ ตัวไหนก็ได้ที่ฉีดได้ก่อน แต่ถ้ามีให้เลือกพร้อมกัน แน่นอนก็ mRNA
4. ถ้าต้องรอเพราะถูกเท หรือมัวแต่รอวัคซีน mRNA แล้วไม่ยอมฉีดวัคซีนอื่น อาจจะติดโควิดไปเสียก่อน เพราะมันระบาดไปทั่วจริงๆ
#หมายเหตุ ทั้งหมดนี้เป็นประสบการณ์ที่หมอซักประวัติคนไข้โควิดตอนหมอไปอาสาช่วยดูแลคนไข้ ซึ่งดูแลคนไข้ถึงตอนนี้ก็มากกว่าร้อยคนแล้ว แต่ไม่ใช่งานวิจัยวิชาการ จึงเป็นแค่การเล่าสู่กันฟังเท่านั้น
ไม่ออกไปไหนเลย 在 อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์ Facebook 的最佳解答
บทความนี้ดีครับ คุณหมอเขียนได้ถูกต้องดี เกี่ยวกับเรื่องให้ระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโรค covid-19 ที่มากับละอองฝอย (aerosol) ของน้ำลายของผู้ติดเชื้อ ซึ่งลอยฟุ้งแล้วสะสมตัวในห้องที่ปิดทึบ อากาศไม่ถ่ายเท
ซึ่งผมพยายามจะบอกมาตลอด ว่า "การระบายอากาศ ventilation" เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องระวังกัน และไม่ค่อยมีการรณรงค์เรื่องนี้เท่าไหร่
ดังนั้น หลักการง่ายๆ ในการใช้ชีวิตยุคนี้ นอกจากใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างกับคนอื่น ยังควร "เปิดประตูหน้าต่าง ให้อากาศถ่ายเท ออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งแทนอยู่ในห้องแอร์" ด้วยครับ
-------
(บางส่วนจากบทความ)
นพ.ชนาธิป ไชยเหล็ก อดีตแพทย์โรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลชุมชน อดีตเจ้าหน้าที่กรมควบคุมโรค และขณะนี้กำลังศึกษาต่อด้านระบาดวิทยาภาคสนาม (FETP) ที่มหาวิทยาลัยมหิดล ประมวลว่าพื้นที่ไหนบ้างที่เสี่ยงอันตราย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสี่ยงของพื้นที่นั้นๆ มีอยู่ 4 อย่าง ได้แก่ ระยะเวลา, ระยะทาง, ลักษณะของกิจกรรม และสภาพแวดล้อม
- ระยะเวลาในการปฏิสัมพันธ์กัน โดยหากนานเกิน 15 นาทีจะทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
- ระยะทาง ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่อสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมากกว่า 2 เมตร
- ลักษณะของกิจกรรม ทำกิจกรรมกับใคร และเป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดสารคัดหลังจำนวนมากหรือเปล่า เช่น ร้องเพลง, ออกกำลังกาย หรือตะโกน (เชียร์กีฬา รวมถึงมวย)
- สภาพแวดล้อม เป็นสถานที่แออัดหรือมีอากาศถ่ายเท
๐ #พื้นที่ส่วนกลางของตึก อาทิ Co-working space , ห้องโถง
- ในตอนนี้น่าจะยังไม่มีความเสี่ยงมากนัก เพราะผู้พักอาศัยเพียงเดินผ่าน ไม่ได้มีกิจกรรมหรือปฏิสัมพันธ์ร่วมกันเท่าไหร่
- แต่ถ้ามีการเปิดให้นั่งใช้ และเริ่มมีกิจกรรมในพื้นที่มาก อาจขยับความเสี่ยงไปสูงได้
- หากทำให้พื้นที่มีอากาศถ่ายเทตลอดเวลา หรือติดตั้งเครื่องกรองอากาศแบบเดียวกับกรอง PM 2.5 จะช่วยให้อากาศไหลเวียน และลดความเสี่ยงได้
๐ #ลิฟต์
- ลิฟต์เป็นพื้นที่ที่ดูเหมือนเสี่ยงสูง แต่อันที่จริงไม่ได้มากมายขนาดนั้น โดยข้อมูลจาก CDC สหรัฐฯ ล่าสุดยังยืนว่า โอกาสที่จะติดเชื้อผ่านการสัมผัส อาทิ ปุ่มกดชั้น นั้นยังค่อนข้างต่ำ
- แต่ภายในลิฟต์อากาศอาจไม่ถ่ายเทมากเท่าไร ดังนั้น ควรใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และหลีกเลี่ยงลิฟต์ที่มีผู้ใช้บริการภายในมาก
๐ #รับอาหารรับของ
- ความเสี่ยงยังอยู่ในระดับต่ำ เพราะเช่นที่กล่าวไปข้างต้นว่าโอกาสในการที่ไวรัสจะอยู่บนพื้นผิวสัมผัสยังมีน้อย
- ที่มีโอกาสเสี่ยงที่สุดคือ การออกไปรับของจากผู้ที่มาส่ง ซึ่งเปิดโอกาสให้มีการแพร่เชื้อจาก คน-คน ได้
- ถ้าหากเป็นกังวล ควรหลีกเลี่ยงโอกาสที่จะใกล้ชิด โดยการไม่ออกไปรับของกับมือ ให้ใช้ระบบโอนเงินออนไลน์ รวมถึงฉีดพ่นสเปรย์แอลกอฮอล์และล้างมือทันทีหลังที่จับของเสร็จ
- อันที่จริง CDC ยังไม่มีรายงานว่าพบการติดเชื้อผ่านการใช้เงิน
๐ #ติดเชื้อผ่านอาหาร
- ความเป็นไปได้มีต่ำ เว็บไซต์ CDC ของสหรัฐฯ ยืนยัน ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้ติดเชื้อผ่านทางอาหารโดยตรง
- สำหรับอาหารที่ปรุงสุกอยู่แล้ว ไม่มีความน่ากังวลอะไรนัก เพราะเชื้อจะถูกความร้อนทำลายทั้งหมด
- สำหรับอาหารรูปแบบอื่น ที่ไม่ผ่านการปรุงสุก อาทิ ซาชิมิ, บะหมี่เย็น หรือลาบก้อย ก็เป็นไปได้น้อยเช่นเดียวกัน
- เพราะในทางทฤษฎี เชื้อจะถูกระบบย่อยอาหารของร่างกายทั้ง น้ำลายหรือน้ำย่อยละลายทิ้งจนหมดเสียก่อน
- สำหรับร้านอาหารหรือผู้ประกอบอาหารเอง ทางที่ดีก็ควรสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และหมั่นดูแลสุขอนามัยของอุปกรณ์และสถานที่ประกอบอาหารอย่างรอบคอบ
๐ #ฟิตเนสและสระว่ายน้ำ
- ฟิตเนส อากาศไม่ค่อยถ่ายเท และการหายใจเข้า-ออกที่รุนแรงขึ้นระหว่างออกกำลังกาย จะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการระบาดของเชื้อได้
- ดังนั้น ควรมีการเปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเท และติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ PM 2.5 เอาไว้ เพื่อทำให้ภายในมีอากาศหมุนเวียนมากขึ้น
- สระน้ำ มีความเสี่ยงต่ำ เพราะเป็นพื้นที่ที่อากาศปลอดโปร่ง แต่เป็นไปได้ว่าจะมีการติดกันหากเกิดการสัมผัสบนบก
- แต่เมื่ออยู่ในสระน้ำแล้ว โอกาสที่จะแพร่เชื้อในน้ำมีน้อย เพราะคลอรีนที่อยู่ในน้ำจะทำลายเชื้อ ก่อนที่จะแพร่กระจายได้
๐ #ห้องน้ำและระบบน้ำเสีย
- CDC ยังไม่มีการรายงานว่ามีการแพร่เชื้อผ่านทางน้ำเสีย หรือระบบน้ำเสีย บวก ดังนั้น ข้อมูล (เช่น ข่าวจากที่ฮ่องกง) ยังมีน้อยเกินไป ที่จะสรุปว่ามีการแพร่กระจายผ่านระบบน้ำเสีย
๐ #ผู้ติดเชื้ออยู่ข้างห้องข้างบ้าน
- กรณีที่ข้างห้องหรือข้างบ้าน มีผู้ติดเชื้อ ถ้าหากไม่มีการใช้ระบบอากาศร่วมกัน และไม่มีปฏิสัมพันธ์กัน (กล่าวคือ ต่างคนต่างอยู่) ความเสี่ยงก็ยังคงต่ำอยู่
- ถ้าหากมีการปฏิสัมพันธ์กันในระยะใกล้กันกว่า 2 เมตร เกิน 5 นาที หรือถ้ามีปฏิสัมพันธ์กันในพื้นที่ปิด ที่อากาศไม่ถ่ายเท ตั้งแต่ 15 นาทีขึ้น ก็จะมีโอกาสเสี่ยงสูงขึ้น
- ถ้าทั้งสองฝ่ายใส่หน้ากากอนามัย จะช่วยลดความเสี่ยงดังกล่าวได้อีกมาก
๐ #ไม่ออกไปไหนเลย
- ถ้าไม่ได้ออกไปไหนเลย เป็นไปได้ยากมากที่จะมีการติดเชื้อ เพราะการติดเชื้อต้องมีสาเหตุที่มา เช่น คนในบ้านได้รับเชื้อไม่รู้ตัว หรือได้รับเชื้อแต่ไม่แสดงอาการเป็นต้น
#ทิ้งท้าย จากข้อมูลของ CDC ยังยืนยันให้มีใช้วิธีเดิมในการป้องกันเชื้อ กล่าวคือ ใส่หน้ากากอนามัย, รักษาระยะห่าง, หลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด
และถ้าหากทราบว่าไวรัสสามารถอยู่ในอากาศได้นานกว่าเดิม การหมั่นเปิดหน้าต่าง และซื้อเครื่องกรองอากาศจะสามารถช่วยให้ไวรัสกระจายตัว และลดความเข้มข้นของไวรัสลงไปได้
จาก
ไม่ออกไปไหนเลย 在 Tor Rungrojn ผู้ชายเลี้ยงลูก Facebook 的最佳解答
พาลูกเที่ยว ธรรมชาติ ขาดมากไปก็ไม่ดี
เรื่องมีอยู่ว่า....................
.
.
ผมเรียกช่างล้างแอร์มาที่บ้านครบรอบพอดี
พ่อต่อ : พี่ๆ ล้างแอร์ บ่อยๆ ช่วยให้ลูกเล็กไม่เป็นภูมิแพ้
จริงไหมพี่ อากาศ จะสะอาดขึ้นไหมพี่
ช่างแอร์ : อากาศสะอาดที่สุด
ก็พาลูกออกไปเที่ยวธรรมชาติ ดีที่สุดครับพี่
.
.
คำตอบกวนๆ แต่ก็น่าจะจริง ครับ
เด็กที่เลี้ยงแต่บ้านห้องแอร์ไม่ออกไปไหน
มีความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้ระบบทางเดินหายใจ
หากระบบแอร์ ไม่ได้รับการรักษาความสะอาด
.
.
พาลูกเที่ยว ธรรมชาติ อากาศดี ไม่ต้องเปิดแอร์
เรียนรู้อยู่กับธรรมชาติ ฟังเสียงนก เล่นน้ำตก ขี่ช้าง
เลี้ยงลูกอยู่แต่ในบ้าน ไม่ออกไปไหนเลย
ก็ไม่ได้ปลอดภัย 100% เสมอไป
.
.
ความทรงจำสร้างได้ ถ่ายตอน 7 เดือน
.
.
#ผู้ชายเลี้ยงลูก #พาลูกเที่ยว
#พ่อต่อ #น้องบอลลูน
ไม่ออกไปไหนเลย 在 ไม่กล้าออกไปไหนเลย - Facebook 的推薦與評價
เจอฟอร์มแบบนี้.. ไม่ กล้า ออกไปไหนเลย !!! ติดตามความสนุกแบบเต็ม ๆ ได้ที่ https://bit.ly/3lxglwv #หกฉากครับจารย์ ทุกวันอาทิตย์ เวลา 12.00 น. ... <看更多>