นักวิทยาศาสตร์คนใดที่ทำให้คนตายมากที่สุด?
ถ้าพูดถึงวิทยาศาสตร์แน่นอนว่าเราจะต้องนึกถึงศาสตร์และเทคโนโลยีซึ่งนำมาซึ่งความเจริญ ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็ทำให้เราได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติได้ดีขึ้น แต่หากเราใช้วิทยาศาสตร์ไปในทางที่ผิด มันก็นำมาซึ่งความตาย และหายนะได้เช่นเดียวกัน
แล้วนักวิทยาศาสตร์คนใดในประวัติศาสตร์ที่นำมาซึ่งการเสียชีวิตของมนุษย์มากที่สุด?
เราอาจจะนึกถึง Josef Mengele หมอนาซีที่รมแก๊สชาวยิวเป็นผักปลา นำคนเป็นๆ ไปทดลองอย่างโหดร้าย หรือหน่วยวิจัยอาวุธชีวภาพ Unit 731 ของจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น การทดลองอาวุธทั้งหลาย และแน่นอนว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่คร่าชีวิตคนไปจากเมืองฮิโรชิม่า และนางาซากิกว่า 129,000-226,000 คน
แต่ความเป็นจริงแล้วนักวิทยาศาสตร์ที่อาจจะส่งผลต่อการเสียชีวิตของมนุษย์มากที่สุดนั้น หาได้เป็นผู้ที่คิดค้นอาวุธแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์การเกษตร ที่อ้างว่าทำไปเพื่อเพิ่มผลผลิตและความกินอยู่ของมนุษย์ที่ดีขึ้น
นักวิทยาศาสตร์คนนั้นก็คือ Trofilm Lysenko
Lysenko นั้น ถือกำเนิดขึ้นมาจากครอบครัวชาวนา เขาอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้จนถึงอายุ 13 ปี และไม่เคยได้รับการศึกษาทางวิทยาศาสตร์อย่างจริงจัง แต่สิ่งที่เขามีก็คือชาตินิยมอันแรงกล้า และศรัทธาในวิถีแห่งสังคมนิยมอันท่วมท้น และด้วยเหตุนี้ บวกกับที่มาอัน "รากหญ้า" ของเขา จึงทำให้ "นักวิทย์ตีนเปล่า" อย่างเขานั้นถูกตาต่อพรรคคอมมิวนิสต์ (ที่ต้องการสร้างภาพที่เชิดชูชนชั้นรากหญ้า) จนได้แต่งตั้งให้เขาเป็นหัวหน้าฝ่ายเกษตรกรรมของสหภาพโซเวียตทั้งปวง
Lysenko นั้น ต่อต้านแนวความคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ยึดถือกันในตอนนั้นเป็นส่วนมาก เขาต่อต้านแนวความคิดของพันธุศาสตร์ทุกประการ แม้ว่ารางวัลโนเบลเพิ่งจะมอบให้ผู้ค้นพบพันธุศาสตร์ไปในปี 1933 และแม้ว่าทฤษฎีการถ่ายทอดพันธุกรรมของเมนเดลจะเป็นสิ่งที่ใช้กันอย่างแพร่หลายแล้วในยุคนั้น แต่เขามักจะยึดถือแต่แนวความคิดของตัวเอง ที่เรียกว่า Lysenkoism ซึ่งเต็มไปด้วยไอเดีย "เพี้ยนๆ" มากมาย เช่น:
- เขาเชื่อว่าหากเอาเมล็ดพันธุ์ไปแช่น้ำเย็น ไม่เพียงแต่จะทำให้มันทนอากาศหนาวได้ดีขึ้นเท่านั้น แต่ลูกหลานรุ่นถัดไปของมันก็จะสามารถ "จดจำ" ลักษณะนี้ได้ด้วย
- หากเราตอนกิ่งเพื่อสร้างไม้ผสม เมล็ดที่ได้จากกิ่งตอนนี้ก็จะคงลักษณะลูกผสมและส่งทอดต่อไปได้เช่นกัน
- ต้นไม้นั้นไม่ได้ตายจากการขาดน้ำหรือแสงแดด แต่มันสละชีพลงเพื่อเปิดทางให้ต้นอื่นได้เติบโตขึ้น
- พืชชนิดเดียวกันไม่ได้แย่งน้ำและสารอาหารกัน แต่จะร่วมมือกันเพื่อเติบโต
- พืชไม่ได้ผสมพันธุ์แบบสุ่ม แต่จะมีการเลือกสายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุด
- การผลิตน้ำนมของวัวไม่ได้ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ แต่ขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดู ยิ่งเลี้ยงดูโคนมได้ดี ก็จะยิ่งผลิตนมได้เยอะ
- ลูกนกกาเหว่าในรังอีกาไม่ได้เกิดจากนกกาเหว่าไปวางไข่ แต่เกิดจากอีกาซึ่งได้รับบุ้งเป็นอาหารเมื่อยังเล็ก
- ฯลฯ
ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นด้วยเหตุผลใด แต่ Josef Stalin ผู้นำแห่งสหภาพโซเวียตก็ถูกใจ Lysenko เป็นอย่างมาก จึงบังคับแนวคิดของเขาไปใช้อย่างแพร่หลาย ผลที่ตามมาก็คือสภาวะอดอยากอย่างรุนแรงในช่วงปี 1932-1933 และคร่าชีวิตคนไปกว่า 7 ล้านคน แต่อิทธิพลของ Lysenkoism นั้นส่งต่อไปอีกนานมาก ในอีกสี่ปีต่อมา แม้ว่าสหภาพโซเวียตจะเพิ่มพื้นที่การเกษตรไปถึงกว่า 162 เท่า แต่ผลผลิตทางการเกษตรที่ได้นั้นกลับน้อยลงกว่าเดิม
ซึ่งผลจากความฉิบหายที่เกิดขึ้นจาก Lysenko นั้นไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ในสหภาพโซเวียตเพียงเท่านั้น แต่เมื่อมิตรสหายพันธมิตรแท้อย่างท่านประธานเหมา ได้นำเอาแนวคิดของ Lysenkoism ไปประยุกต์ใช้ใน "The Great Leap Forward" ของประเทศจีนด้วย โดยสั่งให้ชาวนาไถนาลึกกว่าปรกติ กลายเป็นว่าขุดเอาหินกรวดขึ้นมาแทนที่ และกลบฝังหน้าดินอันอุดมสมบูรณ์ลงไป การหว่านเมล็ดที่ถี่กว่าเดิม ทำให้ผลผลิตที่ได้กลับลดลง ซึ่งบวกกับนโยบายการบริหารหายนะอื่นของ The Great Leap Forward เช่น การไล่จับนกกระจอกอย่างบ้าคลั้งภายใต้ four pest campaigns อันเป็นการส่งผลให้ทำลายห่วงโซ่อาหาร และแมลงศัตรูพืชระบาดอย่างหนัก การหลอมหม้อหุงข้าวส่วนตัวไปทำเป็นกระสุนปืน และให้ประชาชนพึ่งรัฐในการหุงหาอาหารให้กิน ระบบการเมืองท้องถิ่นที่มีปัญหา การจับประชาชนไปใช้แรงงาน และอุทกภัยใหญ่ที่ทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งแย่ลงไปอีก
ผลที่เกิดขึ้นก็คือหายนะที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกที่เกิดขึ้นจากเงื้อมมือของมนุษย์ ที่ทุกวันนี้เราเรียกกันว่า The Great Chinese Famine มีการประมาณการกันว่ามีผู้คนเสียชีวิตจากการอดอยากระหว่างปี 1959-1961 ไปทั้งสิ้น ระหว่าง 15-55 ล้านคน (เยอะยิ่งกว่าชาวจีนที่ตายไปจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งหมด) ผู้คนที่ล้มตายหน้ายุ้งฉางของรัฐระหว่างที่ตะโกนร้องขอท่านประธานเหมาและพรรคคอมมิวนิสต์ให้ช่วยด้วย ผู้คนต้องเก็บเปลือกไม้มาต้มกิน ครอบครัวต้องกินศพกันเองเพื่อประทังชีวิต
เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คนหนึ่ง ได้รายงานเอาไว้ว่า
"ผมไปเมืองหนึ่งก็เห็นศพเกลื่อนกลาดเป็นร้อยศพ ไปอีกเมืองก็เห็นอีกร้อย ถูกทิ้งเอาไว้แบบนั้นไม่มีใครสนใจ บางคนบอกว่ามีศพอีกมากที่ถูกสุนัขข้างทางกินไปหมดแล้ว ผมยืนยันว่านี่ไม่เป็นความจริงอย่างแน่นอน เพราะสุนัขถูกคนจับกินหมดไปตั้งนานแล้ว"
ซึ่งหากเรารวมการอดอยากที่เกิดขึ้นในสหภาพโซเวียต และใน The Great Chinese Famine แล้ว เราก็จะพบว่า Trofilm Lysenko เป็น "นักวิทยาศาสตร์" ที่ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตของมนุษย์มากที่สุด เว้นเสียแต่เราจะยอมนับผู้ที่เสียชีวิตจากการยิงกันในทุกสงครามตั้งแต่มีการคิดค้นดินปืนเข้าไว้ด้วยกัน
แล้วเพราะเหตุใดสหภาพโซเวียตจึงปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น? เพราะเหตุใดนักวิทยาศาสตร์โซเวียตจึงปล่อยให้ประเทศถูกครอบงำไปด้วย pseudoscience? คำตอบก็คือ เพราะคนที่ต่อต้านและวิพากษ์วิจารณ์นั้นถูกจับไปหมดแล้ว
ในปี 1940 Lysenko ได้ถูกเลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นผู้อำนวยการแห่ง Institute of Genetics ภายใต้ Academy of Sciences ของสหภาพโซเวียต และเขาได้ใช้อำนาจที่เขาได้มาในการปิดปากผู้ที่เห็นต่าง ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์แนวความคิดเขา นักวิทยาศาสตร์โซเวียตที่ไม่ยอมต่อต้านพันธุศาสตร์ถูกขับไล่หรือโยกย้ายออกไป อีกนับร้อยนับพันถูกนำไปขัง และบางคนก็ถูกประหารชีวิต ในปี 1948 สหภาพโซเวียตได้ออกกฎหมายห้ามการเห็นต่างจากทฤษฎีของ Lysenko ทุกประการ
แต่หลังจากการตายของสตาลิน ทำให้อิทธิพลของ Lysenko จึงค่อยๆ ลดลงไปในที่สุด นักวิทยาศาสตร์จึงเริ่มออกมาต่อต้าน และเปิดโปงความลวงโลกของ Lysenko และกระแสต่อต้านจึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น จน Lysenko ต้องถูกถอดออกไปในที่สุด แม้กระนั้นก็ตาม Lysenko ก็ได้ทำให้ความก้าวหน้าทางด้านพันธุศาสตร์ของสหภาพโซเวียตต้องหยุดชะงักและล้าหลังไปอีกโดยไม่สามารถประเมินค่าได้
เราจะเห็นได้ว่า แม้ว่า Lysenko นั้นจะเป็นผู้ที่มีส่วนเป็นอย่างมากที่ทำให้เกิดหายนะเหล่านี้ แต่ส่วนที่สำคัญเลยที่ทำให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้นั้น ก็คือทัศนคติที่ไม่เปิดกว้างต่อการแสดงความเห็น แม้ว่า Lysenkoism จะได้รับการแพร่หลายอย่างมากในสหภาพโซเวียต (เพราะผู้ที่ต่อต้านถูกจับไปหมดแล้ว) แต่ในโลกตะวันตกที่ปล่อยให้มีการเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์แล้วนั้น ทฤษฎีนี้ไม่เคยจะได้เกิดขึ้นมาเลยแต่แรก
ตัว Lysenko เองนั้นมีทัศนคติที่ไม่เปิดกว้างต่อการวิพากษ์แต่อย่างใดเลย ครั้งหนึ่งที่เขาทำการทดลองและมีการใช้สถิติที่ผิดพลาด เมื่อถูกวิจารณ์ แทนที่เขาจะยอมรับ เขากลับกล่าวว่า "เรื่องของชีววิทยานั้นไม่จำเป็นต้องใช้คณิตศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง" และเขาก็เลิกความพยายามที่จะใช้คณิตศาสตร์ทั้งปวงในการยืนยันผลงานของเขา (ซึ่งยิ่งนำไปสู่ confirmation bias ที่หนักกว่าเดิม) และเมื่อเขารู้ว่านักวิทยาศาสตร์ตะวันตกนั้นไม่ยอมรับผลงานของเขา เขาจึงเลิกที่จะพยายามสื่อสารกับตะวันตก และหันมาโฟกัสแต่เพียงในสหภาพโซเวียต และปิดปากทุกคนที่เห็นต่างจากแนวคิดของเขาต่อไป ไม่ต่างอะไรกับกบในกะลาที่พอใจอยู่เพียงแค่ในกะลาครอบเล็กๆ ของตัวเอง และแน่นอน ว่ามนุษย์อีโก้สูงเช่นนี้ คงจะไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ถ้าหากว่า “ระบบ” ไม่ได้สนับสนุนคนแบบนี้ตั้งแต่แรก
สิ่งหนึ่งที่ทำให้วิทยาศาสตร์ปัจจุบันนั้นก้าวหน้าไปได้อย่างไม่หยุดยั้ง หาได้เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่ง หรือแนวความคิดที่ดีแต่อย่างใด แต่คือพลังของการเปิดกว้างต่อการวิพากษ์วิจารณ์ ระบบวิทยาศาสตร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบ reproducibility ระบบ peer-review เป็นระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อไม่ให้ยึดติดกับเพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างที่เกิดขึ้นกับวงการ genetics ของสหภาพโซเวียตที่ผ่านมา
เราไม่ได้เชื่อทฤษฎี เพียงเพราะว่าคนพูดเป็นผู้ที่มีอำนาจ หรือความน่าเชื่อถือ เราไม่ได้ไม่ฟังการติชม เพียงเพราะเราไม่ต้องการฟัง หรือมันขัดแย้งกับสิ่งที่เราอยากจะเชื่อ แต่วิทยาศาสตร์นั้นเป็นศาสตร์ที่เราตัดสินกันด้วยหลักฐานและเหตุผล หากใครก็ตามสามารถยกหลักฐานและเหตุผลที่น่าเชื่อถือ ที่ขัดแย้งกับทฤษฎีเดิมไว้ ทฤษฎีนั้นก็ย่อมที่จะต้องตกไป ไม่ว่าใครจะเป็นผู้คิดค้นก็ตาม
นั่นก็คือ เราเชื่อมั่นว่าทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่เราใช้กันอยู่นี้ "น่าจะเป็นทฤษฎีที่ถูกต้องที่สุด" ไม่ใช่เพราะว่ามันไม่เคยผิด แต่เป็นเพราะว่าอันอื่นๆ ที่ผิดนั้นได้ถูกค้นพบว่าผิดไปหมดแล้ว
จึงเป็นเรื่องสำคัญในวิทยาศาสตร์ว่า คนทุกคนควรจะสามารถที่จะวิพากษ์วิจารณ์ทฤษฎีใดก็ด้วย ด้วยหลักการ หลักฐาน และเหตุผล เพราะหากเราไม่เปิดกว้างให้วิจารณ์กันแล้วล่ะก็ เราอาจจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของหายนะที่ร้ายแรงที่สุดที่เกิดจากมนุษย์สร้างครั้งถัดไปก็ได้
ภาพ: Soviet pseudoscientist Trofim Denisovich Lysenko - Wikipedia
อ้างอิง/อ่านเพิ่มเติม:
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/Trofim_Lysenko
[2] https://www.theatlantic.com/science/archive/2017/12/trofim-lysenko-soviet-union-russia/548786/
[3] https://en.wikipedia.org/wiki/Great_Chinese_Famine
同時也有1部Youtube影片,追蹤數超過8萬的網紅Jackz,也在其Youtube影片中提到,Neil Patrick Harris, Anna Kendrick and Jack Black perform the opening number "Moving Pictures" at the 2015 #Oscars! How do you make a great opening n...
「chinese academy of sciences」的推薦目錄:
- 關於chinese academy of sciences 在 มติพล ตั้งมติธรรม Facebook 的最佳貼文
- 關於chinese academy of sciences 在 寰雨膠事錄 國際新聞 Gaus.ee 台 Facebook 的精選貼文
- 關於chinese academy of sciences 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於chinese academy of sciences 在 Jackz Youtube 的最佳貼文
- 關於chinese academy of sciences 在 Chinese Academy of Sciences - Home | Facebook 的評價
- 關於chinese academy of sciences 在 CAS-TWAS Centres of Excellence - YouTube 的評價
chinese academy of sciences 在 寰雨膠事錄 國際新聞 Gaus.ee 台 Facebook 的精選貼文
Oh?
chinese academy of sciences 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
สตาร์ตอัป ด้านการศึกษา ใหญ่สุดในโลก คือใคร? /โดย ลงทุนแมน
เทคโนโลยี ได้เข้ามามีบทบาทในทุกด้านของชีวิต ซึ่งรวมถึงเรื่องการศึกษา
ที่ได้รวมกันกลายมาเป็น “EdTech” หรือธุรกิจแพลตฟอร์มการศึกษาออนไลน์
เพื่อทำให้การเรียนรู้ ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียน
และในปัจจุบัน บริษัทสตาร์ตอัปด้าน EdTech ที่มูลค่ามากที่สุดในโลก มีมูลค่ากว่า 4.8 แสนล้านบาท
แล้วบริษัทนี้ มีความเป็นมาอย่างไร และมีอะไรเป็นจุดเด่น ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ถ้าพูดถึงแพลตฟอร์มเรียนออนไลน์
หลายคนคงคุ้นเคยกับ Coursera, edX และ Udemy จากประเทศสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเป็นแหล่งรวมคอร์สออนไลน์ จากหลากหลายมหาวิทยาลัยชั้นนำ และหลากหลายแขนงวิชาให้เลือกเรียน เมื่อเรียนจบก็จะได้ใบ Certificate ที่นำไปใช้ประกอบการสมัครงานได้อีกด้วย
อีกรูปแบบที่ได้รับความนิยม ก็คือแพลตฟอร์มสอนภาษา
อย่างเช่น Duolingo ที่จะเน้นการเรียนภาษาในรูปแบบที่แปลกใหม่ ไม่เหมือนในห้องเรียน
จะเห็นได้ว่าจุดเด่นร่วมของแพลตฟอร์มเหล่านี้
ก็คือ การเรียนรู้เพื่อยกระดับทักษะเดิมให้เก่งขึ้น
รวมถึงเรียนรู้เพื่อสร้างทักษะใหม่ และใช้ต่อยอดในการทำงาน
แต่รู้หรือไม่ว่า..
สตาร์ตอัปด้าน EdTech ที่มูลค่ามากที่สุดในโลก 3 อันดับแรกนั้น
ไม่ได้มีจุดเด่นในด้านที่ว่านี้ แต่เป็นแพลตฟอร์ม “กวดวิชา” ออนไลน์
ที่ถูกก่อตั้งขึ้นจากชาวเอเชียทั้งหมด
ปัจจุบัน สตาร์ตอัป EdTech ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
มีชื่อว่า “Yuanfudao” อ่านว่า หยวนฝู่เต่า ที่แปลว่าติวเตอร์
Yuanfudao เริ่มก่อตั้ง ในปี 2012 ที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน
โดยคุณ Yong Li, Xin Li และ Shuai Ke
โดย Yuanfudao เป็นแพลตฟอร์มสำหรับเรียนกวดวิชาทางออนไลน์
ทั้งแบบสอนสด รวมถึงแบบที่ดูย้อนหลังได้
ซึ่งหลักสูตรก็ครอบคลุมกลุ่มนักเรียนตั้งแต่ชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยม
โดยมีติวเตอร์ที่ร่วมสอนกว่า 30,000 คน
และสำหรับผู้ปกครอง ก็สามารถเช็กการเรียนของลูกผ่านแอปพลิเคชันได้อีกด้วย
ที่สำคัญก็คือ Yuanfudao ได้ทำฐานข้อมูลที่รวบรวมข้อสอบเก่าไว้มากมาย
และยังมีบริการช่วยตรวจการบ้าน ตรวจโจทย์ที่ฝึกทำ
รวมไปถึงบริการถามตอบแบบออนไลน์
และสิ่งที่ Yuanfudao ให้ความสำคัญที่สุด ก็คือการพัฒนา AI
จึงได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยด้าน AI และการทดลองด้านเทคโนโลยี ในปี 2014
ร่วมกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ อย่างเช่น Tsinghua University, Peking University และ Chinese Academy of Sciences
โดยมีเป้าหมายเพื่อนำ AI มาใช้ศึกษาว่าเหล่านักเรียนยังมีจุดอ่อนในด้านใดบ้าง
แล้วนำข้อมูลที่ได้ ไปพัฒนาหลักสูตร รวมถึงผลิตภัณฑ์ในด้านอื่น ๆ
เพื่อช่วยพัฒนาศักยภาพของนักเรียนให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น
จนในปัจจุบัน Yuanfudao มีผู้ใช้งานกว่า 400 ล้านคนทั่วประเทศจีน
หรือคิดเป็นกว่า 28% เมื่อเทียบกับประชากรจีน 1,440 ล้านคน
ซึ่งที่ผ่านมา Yuanfudao ได้ระดมทุนไปแล้วกว่า 128,000 ล้านบาท
โดยมี Tencent เป็นผู้ลงทุนหลัก และมีมูลค่าบริษัทในปัจจุบันที่ 480,000 ล้านบาท
ในขณะเดียวกัน คู่แข่งในจีนที่สำคัญของ Yuanfudao ก็คือ Zuoyebang
ซึ่งก็เป็น EdTech ที่มีมูลค่ามากเป็นอันดับ 3 ของโลก และมี Baidu เป็นผู้ลงทุนหลัก
แล้วถ้าถามว่าอันดับที่ 2 คือใคร ?
สตาร์ตอัปแห่งนั้นก็คือ Byju’s ซึ่งเป็น EdTech กวดวิชาออนไลน์ที่ใหญ่สุดในประเทศอินเดีย และเคยมีมูลค่ามากที่สุดในโลกมาโดยตลอด ก่อนที่จะโดน Yuanfudao แซงเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
จากการเติบโตอย่างรวดเร็วของ EdTech ในประเทศจีน
ก็ได้ทำให้ทั้ง Yuanfudao และ Zuoyebang กลายมาเป็นคู่แข่ง
คนสำคัญของสถาบันกวดวิชาที่ใหญ่ที่สุดในจีนอย่าง TAL Education
ที่แต่เดิมสอนผ่านทางออฟไลน์และได้เพิ่มช่องออนไลน์ขึ้นในภายหลัง
แต่ยังคงมีรายได้หลักมาจากการสอนที่สถาบันกวดวิชา
และผลกระทบจากโควิด 19 ก็กลายเป็นปัจจัยเร่งให้ธุรกิจเรียนออนไลน์เติบโตได้เร็วขึ้น
โดยสัดส่วนการเรียนออนไลน์ในจีน เมื่อเทียบกับการเรียนจากทุกช่องทาง
ปรับเพิ่มขึ้นจาก 15% ในปี 2019 มาเป็น 35% ในปี 2020
และคาดการณ์ว่าจะมีสัดส่วนถึง 55% ในปี 2022
หากมองถึงโอกาสในอนาคต ธุรกิจกวดวิชาในจีนคงยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง
เพราะด้วยระบบการศึกษาในแถบเอเชีย โดยเฉพาะในจีน
ที่ยังคงให้ความสำคัญกับการสอบและคะแนนสอบ
ซึ่งนอกจากนักเรียน ที่ต้องยอมสมัครเรียนเพื่อแข่งขันกันเองแล้ว
ผู้ปกครองก็ยังคงเต็มใจสนับสนุน แม้ราคาค่าเรียนจะสูงแค่ไหนก็ตาม
และด้วยโอกาสการเติบโตที่น่าสนใจนี้ จึงดึงดูดให้เม็ดเงินลงทุนจาก Venture Capital
ที่ลงทุนใน EdTech มีสัดส่วนเงินลงทุนในจีนมากที่สุดในโลกมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2015
โดยในปี 2020 เงินลงทุนจาก Venture Capital ใน EdTech
คิดเป็นสัดส่วนในประเทศจีนกว่า 63%
ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกาที่ 15% และอินเดีย 14%
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทั้ง Yuanfudao และ Zuoyebang
ต่างก็หนีไม่พ้นกับการถูกรัฐบาลจีนปรับ บริษัทละ 12 ล้านบาท
ด้วยเหตุผลในเรื่องการโฆษณาเกินจริงและชี้นำในทางที่ผิด
และรัฐบาลยังต้องการคุมเข้มมากขึ้น กับธุรกิจการเรียนการสอนนอกโรงเรียน
แต่อย่างไรก็ตาม เงินค่าปรับนี้ คิดเป็นเพียง 0.04% ของมูลค่าแต่ละบริษัท เท่านั้น
ถึงตรงนี้ การเติบโตของสตาร์ตอัปกวดวิชา
ในประเทศจีนก็ถือว่าเป็นไอเดียที่น่าสนใจที่เป็นตัวอย่างให้ประเทศไทย
เพราะจริง ๆ แล้ว ระบบการศึกษาในประเทศไทย
ก็แทบไม่ต่างจากประเทศจีนที่เน้นการกวดวิชา
หรือที่เรียกอีกอย่างว่าเรียนเพื่อไปทำข้อสอบ..
╔═══════════╗
Blockdit เป็นแพลตฟอร์ม สำหรับนักอ่าน และนักเขียน
ที่มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน ลองใช้แพลตฟอร์มนี้เพื่อได้ไอเดียใหม่ๆ
แล้วอาจพบว่าสังคมนี้เหมาะกับคนเช่นคุณ
Blockdit. Ideas Happen. Blockdit.com/download
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://www.holoniq.com/edtech-unicorns/
-https://techcrunch.com/2018/12/26/yuanfudao-raises-300-million/
-https://techcrunch.com/2020/10/22/chinese-live-tutoring-app-yuanfudao-is-now-worth-15-5-billion/
-https://technode.com/2020/04/02/yuanfudao-is-now-one-of-chinas-most-valuable-ed-tech-startups/
-https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3132937/beijing-slaps-edtech-unicorns-zuoyebang-yuanfudao-steep-fine-over
-https://www.linkedin.com/pulse/2020-china-edtech-industry-what-happened-expect-joey-niantao-jiao/
-https://www.crunchbase.com/organization/yuanfudao
chinese academy of sciences 在 Jackz Youtube 的最佳貼文
Neil Patrick Harris, Anna Kendrick and Jack Black perform the opening number "Moving Pictures" at the 2015 #Oscars!
How do you make a great opening number for the Oscars? Get a bunch of Broadway talent to do it.
The production number, "Moving Pictures," sung by Tony-winning Academy Awards host Neil Patrick Harris and "Into the Woods" star Anna Kendrick, was written by Academy Award-winning "Frozen" songwriters Robert Lopez and Kristen Anderson-Lopez.
The visuals edited Harris into classic films from "The Wizard of Oz" to "Star Wars" to "Into the Woods."
The middle section of the song, as sung by Jack Black, aped Stephen Sondheim's "Witch's Rap" from Into the Woods, and he warned Harris that he would be “better off polishing your Tony." Kendrick drove him off by yelling “Beat it” and flinging her Cinderella shoe at him.
Lyrics:
[Neil Patrick Harris]
Wow, check out this place. Check out everything.
Check out the glamour, the glitter, people Tweeting on the Twitter
and no one's drunk and bitter yet 'cause no one has lost.
Look at the diamonds, the dresses, people going to excesses,
the stress is on and everybody's fingers are crossed.
I know the camera's on and we're behaving our best.
Yet, I secretly hope someone pulls a Kanye West.
But we are here tonight, with our Xanax and Dior,
thank you lists and publicists who fought the Oscar war.
Tonight we toast what we love most
and I am thrilled to be your host.
'Cause all of it is for moving pictures, shadows and light,
like a magic trick done in plain sight.
Why do we love them? Why do we care?
When they're just moving pictures that aren't really there
But then I think of Chaplin and Monroe
and Argo and Fargo or when Marty made his car go
back in time at the mall
And then there's Bardot and Brando and Billy Dee as Lando
or when Sharon went commando and unsettled us all.
I gasped when Indy goes back for his hat
or when I think of all the tension between Ben and Matt.
[pause] Oh, my stars
I love transformers that transform and perfect storms that storm.
small town girls who change the world by challenging the norm
Godfather 2, the movie Clue
all these films that inspired you to stand up and perform.
Moving pictures, take us over the rainbow
across the fields of our dreams.
In the heat of the night to defeat and to fight evil schemes.
To swim or to swing, to dance or to sing,
to flee down a flight in fright,
yes, moving pictures are coming to life tonight.
[Anna Kendrick joins]
Moving pictures.
[Kendrick]
Where is my shoe?
[Harris]
Is this your Jimmy Choo?
[Kendrick]
Why yes.
[Both]
Moving pictures
[Harris]
and how they can move you.
[Kendrick]
And also improve you.
[Harris]
The joy of pretending,
[Kendrick]
With such happy endings except for in Gone Girl when that lady slit your throat.
[Harris]
Spoiler alert.
[Both]
Moving pictures...
[Jack Black]
Stop!
This is what you sound like:
'Movies, movies wow they rock'
Listen kid, it's all a big crock.
Now it's market trends
and fickle friends
and Hollywood baloney.
Believe me Neil,
you're better off just polishing your Tony
This industry's in flux,
it's run by mucky-mucks,
pitching tents for tentpoles and chasing Chinese bucks.
Opening with lots of zeroes,
all we get is superheroes.
Superman, Spider Man, Batman,
Jedi man, sequel man, prequel man.
Formulaic scripts!
And after 50 Shade of Grey, they'll all have leather whips.
In a world where our breeds are becoming machines,
the only screens we're watching are the screens in our jeans
Screens in our jeans Screens in our jeans
The only screens we're watching...
[Harris]
JACK! I'm trying to...I'm kinda in the...Would you mind?
[Black]
But you know?
[Kendrick]
BEAT IT.
[Black]
Fine.
[Harris]
Yes, green-lit films can stall
[Kendrick]
Scripts can hit a wall
[Harris]
Stars may pass
[Kendrick]
Or fire your ass
[Harris]
And weekly grosses fall.
But when they hit, you must admit,
they sometimes change your view of it
in ways both big and small
[Kendrick]
Have a ball
Moving pictures, millions of pixels on screens.
They may not be real life,
but they'll show you what life really means.
More than any one image.
More than any one star.
Truly, moving pictures shape who we are
whether we're big brained and British
Or hiking and skittish
a legendary leader
a Birdman in a theater
a boy we watch until he's grown
a sniper in a combat zone
a wealthy philanthropic creep
Magic Meryl Effin' Streep
Lobby boys and bleeding drummers
All these awesome up and comers
Who will get a statue? Results are coming at you!
At the 87th Oscars moving picture show!
Acknowledgement:
http://mashable.com/2015/02/22/neil-patrick-harris-oscar-opening-lyrics/
http://playbill.com/news/article/read-the-lyrics-to-neil-patrick-harris-tongue-twisting-oscars-opening-number-by-frozen-songwriters-342356
Clip Courtesy A.M.P.A.S.© 2015
No Copyright Infringement Intended.
All rights belong to the Academy of Motion Picture Arts and Sciences (AMPAS).
![post-title](https://i.ytimg.com/vi/g6efhykjsdM/hqdefault.jpg)
chinese academy of sciences 在 Chinese Academy of Sciences - Home | Facebook 的推薦與評價
Chinese Academy of Sciences. 1616 likes · 14 talking about this. The Chinese Academy of Sciences. ... <看更多>