#八百回合經濟談
〔#讓振興券飛一會兒 #是逆風高飛還是卵覆鳥飛?〕
上禮拜的 #桃園市普發五千 提到發放振興券或現金對財政健全的傷害,這週政經八百就帶壯士們談談——振興券究竟有沒有效果?
▌ 振興券呼聲再起
在近乎完美防守一年多後,今年五月台灣進入三級警戒,迎來的是各大產業的生意下滑,許多人的生計因此受到影響。
這樣的背景下,出現不少重發振興券或是普發現金的呼聲。
由於許多人抱怨之前的振興券使用複雜,而且要掏出 1000 元才能換取總共 3000 元的券;
再加上實體券印製和配發成本高,很多人希望政府直接普發現金,以減去不必要的浪費。
但是普發現金真的比振興券好嗎?振興券究竟能不能有效紓困疫情的衝擊?
▌ 需求面的財政政策
不論是普發現金還是發放振興券,原理都是基於傳統凱因斯的理論:
透過增加民眾所得來刺激民眾的消費,從而使企業的收入上升,避免企業在不景氣時解雇員工而造成失業。
理論上,增加的收入也會進到員工的口袋,從而進一步增加消費,自此無限循環。
但是天下沒有白吃的午餐,發放現金和振興券的財源都是民眾繳納的稅負!
要是政府發了 100 萬,全國增加的收入卻不足100萬,等於全國民眾實際上付出了更高的代價來刺激消費。
因此,這時候政策能不能催出比成本更多的消費便十分關鍵。
▌ 財政乘數
財政乘數簡單來說,就是政府每發放 1 元,我們國內的總所得(GDP)會上升多少元。
在普發現金的情況下,民眾可以輕易地把部分現金存入,並選擇不消費,而企業也不會因此收入增加。
這樣一來,財政乘數就會很低,振興的效果便不容易達成。
近期幾篇對美國在疫情期間紓困的研究發現,民眾收到現金以後,存款有顯著的上升。
紓困金中僅有 35% 左右用於消費,且消費的商品集中於本來就會使用的生活必需品。
考量到亞洲人普遍儲蓄率高,在台灣普發現金對刺激景氣的效果可能更差。
相反的,我國去年發放的振興券則要求民眾先將手上的現金拿去兌換實體券,這樣不但沒辦法將這筆錢存入,還得在時效內使用於特定商家,迫使民眾必須增加消費,進而振興經濟。
然而,這樣的實體券仍然會出現與現金相同的替代問題:
民眾用得來的振興券來購買本來就會用現金購買的生活必需品,把原本會使用的現金存起來,導致消費其實終究沒有增加。
▌ 財政政策的延遲
普發現金和振興券除了對於刺激整體經濟效果有限,他們也很可能無法及時紓困到快要撐不住的中小企業。
財政政策在總體經濟領域最為人詬病的一點就是「政策延遲」:疫情自五月爆發至今已近三個月,撐不住的中小企業在這段期間很可能已經關閉。
政府如果九月發放振興券,民眾如果十月才消費、把錢花出去,振興券的好處也進不到這些已經關閉的中小企業手中。
連帶地,受到影響而失業的員工也因為沒有收入來源,僅能將領到的振興券或現金花在生活必需品上。
他們不但不會因此額外支出並刺激消費,也因為沒有工作而無法收到振興券所帶來的好處。
普發的現金和振興券最終可能會集中到不需要紓困的企業手裡,反而失去了紓困的原意。
▌ 小結
雖然振興券實際的成效仍然需要更多的資料來評估,但以上這些因素,都使得普發現金或振興券未必能夠達成紓困和振興經濟的目標。
目前政府針對受影響的企業和員工所提供的紓困金,可能會比振興券在減少失業、保障中低收入戶所得上更為直接有效。
參考資料:
Guerrieri, V., Lorenzoni, G., Straub, L., & Werning, I. (2020). Macroeconomic implications of COVID-19: Can negative supply shocks cause demand shortages? (No. w26918). National Bureau of Economic Research.
Bi, H., & Gulati, C. (2021). Fiscal Relief during the COVID-19 Pandemic. Economic Review, 106(2), 5-24.
Karger, E., & Rajan, A. (2020). Heterogeneity in the marginal propensity to consume: evidence from Covid-19 stimulus payments.
#臺灣 #生活 #政經八百 #知識 #大學生 #經濟 #經濟學 #台灣 #科普 #科普經濟 #懶人包 #普發 #發現金 #現金 #紓困 #振興 #振興券 #政策
marginal propensity to consume 在 ลงทุนแมน Facebook 的精選貼文
ธนาคารแห่งประเทศไทย x ลงทุนแมน
8 ข้อเท็จจริง ปัญหาการเงินของครัวเรือนไทย
งานศึกษาจากธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับนี้น่าสนใจ
ทำให้เราได้รู้พฤติกรรม การใช้จ่าย การออม
และปัญหาการเงินของครัวเรือนไทย
ซึ่งผลของการศึกษา สามารถสรุปได้เป็น 8 ข้อเท็จจริงดังนี้
ข้อเท็จจริงที่ 1 : ความเปราะบางของครัวเรือนกระจุกตัวมากขึ้นในครัวเรือนที่มีหนี้ ขณะที่ครัวเรือนที่ไม่มีหนี้มีความเปราะบางลดลงต่อเนื่อง
สัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้โน้มลดลงจากร้อยละ 61 ในปี 2552 มาอยู่ที่ร้อยละ 51 ในปี 2560 แต่ระดับหนี้เฉลี่ยต่อครัวเรือน (ที่มีหนี้) กลับเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วงเวลาดังกล่าว สะท้อนว่าหนี้ที่สูงกระจุกตัวอยู่กับครัวเรือนหรือผู้กู้รายเดิม
ซึ่งสอดคล้องกับงานศึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่พบว่า “การขยายตัวของหนี้ครัวเรือนไทยในรอบ 9 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่กับผู้กู้รายเดิม และมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 5 ที่มาจากการขยายตัวของผู้กู้รายใหม่”
ส่งผลให้ความเปราะบางกระจุกตัวมากขึ้นในครัวเรือนที่มีหนี้ โดยสัดส่วนครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหารายรับไม่พอรายจ่ายโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 60 ขณะที่สัดส่วนดังกล่าวของครัวเรือนที่ไม่มีหนี้โน้มลดลง
ข้อเท็จจริงที่ 2 : ภาระหนี้และรายจ่ายไม่จำเป็น คือปัญหาหลักที่ทำให้ครัวเรือนไทยมีรายรับไม่พอรายจ่าย
คำถามที่สำคัญเกี่ยวกับการเป็นหนี้คือ ปัญหารายรับไม่พอรายจ่ายจนทำให้ครัวเรือนต้องก่อหนี้มี ความรุนแรงขนาดไหน?
มีครัวเรือนประมาณกว่าร้อยละ 10 ซึ่งถือเป็นส่วนน้อยที่มีรายรับไม่พอรายจ่ายจำเป็น แต่เมื่อนับรวมรายจ่ายไม่จำเป็นเข้าไปด้วย จะทำให้สัดส่วนครัวเรือนที่มีปัญหารายรับไม่พอรายจ่ายเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30 และหากเพิ่มภาระหนี้เข้าไปในรายจ่ายด้วยก็จะทำให้สัดส่วนดังกล่าวสำหรับครัวเรือนที่มีหนี้ ปรับสูงขึ้นถึงร้อยละ 60
นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่าหากนับเฉพาะรายจ่ายจำเป็น สัดส่วนครัวเรือนที่มีปัญหาทางการเงินแทบจะไม่ต่างกันระหว่างกลุ่มที่มีหนี้และไม่มีหนี้ อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างระหว่างทั้ง 2 กลุ่มจะเริ่มมีมากขึ้น หากนับรวมรายจ่ายไม่จำเป็น และยิ่งเพิ่มมากขึ้นอีกเมื่อนับรวมรายจ่ายด้านภาระหนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการปลดภาระหนี้ โดยหากทำได้สำเร็จจะทำให้สัดส่วนครัวเรือนไทยที่มีปัญหาทางการเงินลดลงอย่างมาก
ข้อเท็จจริงที่ 3 : รายได้ที่ผันผวนไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ทำให้ครัวเรือนก่อหนี้สิน แต่เป็นรายได้ที่มั่นคงที่ทำให้
เข้าถึงบริการทางการเงิน (ก่อหนี้) ได้ดีขึ้น
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ครัวเรือนอาจต้องก่อหนี้คือ การที่ครัวเรือนมีรายได้ผันผวนจนไม่สามารถประเมินรายได้ในอนาคตได้ดีเท่าที่ควร และอาจสร้างปัญหาในการบริหารเงินจนนำไปสู่การก่อหนี้
อย่างไรก็ตาม ครัวเรือนไทยมีสัดส่วนรายได้ที่มั่นคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่มีหนี้และไม่มีหนี้ หรือกลุ่มที่มีปัญหาและไม่มีปัญหาทางการเงิน
สะท้อนถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ครัวเรือนไทย ไม่ได้มีปัญหาด้านรายได้ที่ผันผวนเหมือนในอดีต ส่วนหนึ่งเป็นเพราะราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้แรงงานเคลื่อนย้ายจากภาคเกษตรไปสู่การเป็นลูกจ้างในภาคบริการมากขึ้น โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ การที่ภาคครัวเรือนมีแหล่งรายรับที่มั่นคงมากขึ้นส่งผลให้ สามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ดีขึ้น เนื่องจากสถาบันการเงินมักจะให้เครดิตกับผู้กู้ที่มีรายได้มั่นคงมากกว่า ดังนั้นถือได้ว่า การเพิ่มขึ้นของรายได้ที่มั่นคงเป็นปัจจัยที่เอื้อให้เกิดการก่อหนี้สิน
ข้อเท็จจริงที่ 4 : ยิ่งครัวเรือนมีสัดส่วนรายได้มั่นคงสูงขึ้น ก็จะมีการใช้จ่ายมากขึ้น ขณะที่อัตราการออมจะ ลดลง สะท้อนถึงการขาดความระมัดระวังในการใช้จ่าย
การศึกษานี้พบว่า หลังจากคุมลักษณะและปัจจัยต่างๆ ของครัวเรือนให้คงที่ ครัวเรือนที่มีสัดส่วนรายได้มั่นคงสูงๆ จะมีค่าใช้จ่ายรวม (ไม่รวมภาระหนี้) สูงขึ้นตามไปด้วย และมีอัตราการออมที่ลดลง เมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีรายได้ผันผวน
ผลลัพธ์ดังกล่าว อาจชี้ให้เห็นถึงความชะล่าใจของครัวเรือนที่มีรายได้มั่นคงสูง จึงมีความระมัดระวังในการใช้จ่ายน้อยกว่าครัวเรือนที่มีรายได้ผันผวน
โดยเมื่อเทียบกับครัวเรือนที่มีสัดส่วนรายได้มั่นคงต่ำกว่าร้อยละ 20 แล้ว ครัวเรือนที่มีสัดส่วนรายได้มั่นคงสูงเกินกว่าร้อยละ 80 จะมีรายจ่ายสูงกว่า ประมาณร้อยละ 6.5 ต่อเดือน ขณะที่อัตราการออมจะต่ำกว่าประมาณร้อยละ 2.0 ต่อเดือนอย่างมีนัยทางสถิติ
ข้อเท็จจริงที่ 5 : ครัวเรือนรุ่นหลังๆ (Gen Y) มีการใช้จ่ายมากกว่ารุ่นก่อนๆ ค่อนข้างมาก
จากข้อเท็จจริงที่ 2 ซึ่งพบว่าครัวเรือนที่มีหนี้กว่าร้อยละ 60 อาจประสบปัญหารายรับไม่พอรายจ่าย กลุ่มดังกล่าวมีพฤติกรรมการใช้จ่ายที่แตกต่างจากครัวเรือนที่มีหนี้แต่ไม่มีปัญหาทางการเงินอย่างชัดเจน
โดยการศึกษานี้ได้ตั้งคำถามว่า หากคุมลักษณะและปัจจัยต่างๆ ของครัวเรือน เช่น รายได้ อาชีพและทำเลที่อยู่อาศัยให้คงที่แล้ว การใช้จ่ายของครัวเรือนในช่วงปีหลังๆ คือ ปี 2556 - 2560 จะแตกต่างกับปี 2554 หรือไม่ และแต่ละกลุ่มมีความแตกต่างกันอย่างไร
ซึ่งพบว่า การใช้จ่ายของครัวเรือนที่มีปัญหาทางการเงินเพิ่มสูงขึ้นกว่าในอดีตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่มีอายุเฉลี่ย 0 - 30 ปี หรือกลุ่ม Gen Y ที่เห็นการใช้จ่ายเร่งขึ้นสูงในปี 2560 โดยเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30 เทียบกับปี 2554 ขณะที่กลุ่มครัวเรือนที่มีอายุเฉลี่ย 31 - 50 ปี ก็มีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่เพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่า
ในทางกลับกัน กลุ่มครัวเรือนที่มีหนี้แต่ไม่มีปัญหาทางการเงิน จะมีการใช้จ่ายลดลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อนๆ ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันนี้อาจเป็นข้อบ่งชี้ได้ว่า ครัวเรือนที่มีหนี้แต่ไม่ระวังการใช้จ่ายมักจะประสบปัญหาทางการเงิน ขณะที่ครัวเรือนที่มีหนี้และมีวินัยในการใช้จ่ายก็จะไม่มีปัญหาทางการเงิน
ข้อเท็จจริงที่ 6 : เทคโนโลยีทำให้ครัวเรือนขาดความระมัดระวังในการใช้จ่าย
เทคโนโลยีโดยเฉพาะโลก online นอกจากจะสร้างประโยชน์และความสะดวกสบายในการเข้าถึงข้อมูลให้แก่ผู้บริโภคแล้ว ยังทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำเสนอโฆษณาที่เข้าถึงความสนใจเฉพาะบุคคลของผู้บริโภคได้มากขึ้น
นอกจากนี้ การเข้ามาของ social media ช่วยส่งเสริมความเป็นสัตว์สังคมของมนุษย์ ซึ่งกระตุ้นให้เกิด ความอยากอวด อยากได้ อยากเที่ยว อยากแชร์ ตามกลุ่มเพื่อนๆ มากขึ้น
สำหรับการศึกษานี้พบว่า หลังจากที่คุมลักษณะและปัจจัยต่างๆ ของครัวเรือนให้คงที่แล้ว การใช้ internet มีความสัมพันธ์กับค่าใช้จ่ายอย่างมีนัยสำคัญ
โดยค่าใช้จ่ายจะเพิ่มสูงขึ้นตามสัดส่วนของสมาชิกในครัวเรือนที่มีการใช้ internet โดยครัวเรือนที่มีสัดส่วนการใช้ internet สูงๆ จะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 27 เทียบกับครัวเรือนที่ไม่ได้ใช้ internet
นอกจากนี้ ยังพบอีกว่าแม้จะคุมปัจจัยหลายๆ อย่างให้คงที่แล้ว ครัวเรือนที่ซื้อของผ่าน online shopping จะมีการใช้จ่ายมากกว่าครัวเรือนที่ซื้อของในช่องทาง offline โดยเฉพาะในหมวดเสื้อผ้าและของใช้ส่วนบุคคลที่เห็นการใช้จ่ายสูงกว่าถึงร้อยละ 39
ข้อเท็จจริงนี้มีความสัมพันธ์กับข้อเท็จจริงในข้อที่ 5 ที่ชี้ว่า Gen Y มีแนวโน้มขาดความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากกว่า ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะคนรุ่นหลังเข้าถึงเทคโนโลยีได้มากกว่าและเข้าถึงเร็วกว่าคนรุ่นก่อนๆ
มองไปข้างหน้า เทคโนโลยีต่างๆ ที่สร้างความสะดวกสบายในการใช้จ่ายและการก่อหนี้ รวมถึงการเข้ามา ของฟินเทค (Financial Technology) จะยิ่งทำให้ปัญหาการขาดวินัยทางการเงินและการก่อหนี้ของคนรุ่นหลังๆ มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น
จึงสามารถกล่าวได้ว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนส่วนหนึ่ง เป็นการต่อสู้กับเทคโนโลยีที่ทำให้ครัวเรือนขาดวินัยทางการเงิน จึงจำเป็นต้องเร่งสร้างความตระหนักรู้และสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อให้ภาคครัวเรือนใช้เทคโนโลยีได้อย่างเท่าทันและเหมาะสม
ข้อเท็จจริงที่ 7 : การเพิ่มรายได้เพื่อแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน จะขาดประสิทธิผลหากครัวเรือนไม่ปรับพฤติกรรมการใช้จ่าย
อีกหนึ่งคำถามที่สำคัญคือ การเพิ่มรายได้จะทำให้ครัวเรือนมีสภาพคล่องมากขึ้นและสามารถแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้หรือไม่
การศึกษานี้ได้ทำการทดสอบว่า หากครัวเรือนที่มีหนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น 1 บาท ครัวเรือนจะนำไปใช้จ่ายเท่าไร อย่างไร (ตามหลักคิดของ Marginal Propensity to Consume)
โดยแบ่งการใช้เงินออกเป็น 3 แบบด้วยกันคือ 1) นำไปจ่ายภาระหนี้ 2) นำไปใช้จ่าย และ 3) นำไปเก็บออม
ทั้งนี้ หากครัวเรือนนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปชำระหนี้ เช่น นำเงินมาชำระหนี้บัตรเครดิตและลดการพึ่งพาการจ่ายขั้นต่ำ ที่ทำให้เงินต้นลดได้ช้า ครัวเรือนก็จะมีโอกาสสูงที่จะสามารถปลดหนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่า หลังจากที่ได้คุมปัจจัยต่างๆ ให้คงที่ ครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาทางการเงินจะนำรายได้ส่วนใหญ่ไปใช้จ่าย โดยเฉพาะ Gen Y ที่จะนำเงินไปใช้จ่ายถึงประมาณ 3 ใน 4 และนำไปจ่ายภาระหนี้ในส่วนที่เหลือ ขณะเดียวกันครัวเรือนที่มีหนี้แต่ไม่มีปัญหาทางการเงินจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งเก็บออมไว้อย่างน้อย 1 ใน 3 ของเงินที่เพิ่มขึ้น
จะเห็นได้ว่า เป็นเรื่องสำคัญมากที่การเพิ่มรายได้ต้องมาพร้อมกับการเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่าย ไม่เช่นนั้นครัวเรือนก็จะยังมีปัญหาทางการเงินและไม่มีเงินเก็บออมอย่างเหมาะสม เพราะพฤติกรรมเดิมๆ ย่อมนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เหมือนเดิม อีกทั้งการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วยมาตรการต่างๆ จะขาดประสิทธิผลหากภาคครัวเรือนไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ข้อเท็จจริงที่ 8 : ครัวเรือนไทยมีศักยภาพในการปรับตัวเพื่อให้สามารถหลุดพ้นจากการเป็นหนี้ได้ หากปรับ พฤติกรรมการใช้จ่าย
ข้อเท็จจริงที่ 2 และ 3 ของงานศึกษานี้ชี้ว่า ครัวเรือนไทยจำนวนมากมีศักยภาพในการปรับตัว และสามารถสร้างฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นได้ หากครัวเรือนปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายและมีการวางแผนทางการเงินที่ดี เนื่องจาก
(1) ครัวเรือนทุกกลุ่มมีสัดส่วนรายได้ที่มั่นคงเพิ่มขึ้น ซึ่งควรจะส่งผลดีต่อการคาดการณ์รายได้ต่อเดือนและการบริหารการเงินภายในครัวเรือน
(2) ปัจจัยที่ทำให้ครัวเรือนมีรายรับไม่พอรายจ่าย ส่วนหนึ่งมาจากรายจ่ายไม่จำเป็น และส่วนใหญ่มาจากภาระหนี้ที่สูง ซึ่งหากครัวเรือนปรับลดรายจ่าย ที่ไม่จำเป็นและนำเงินที่เหลือไปชาระหนี้ (ลดภาระหนี้) เพื่อลดเงินต้นอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ก็จะสามารถสร้างฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นได้ กระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาและความอดทนอดกลั้นแต่สามารถทำได้
ทั้งนี้ งานศึกษาพบว่าหากให้ครัวเรือนไทยที่มีหนี้ลดรายจ่ายไม่จำเป็นลงร้อยละ 20 ก็จะทำให้สัดส่วนครัวเรือน ที่มีปัญหาทางการเงินลดลงประมาณร้อยละ 5 และตัวเลขดังกล่าวจะลดลงมากขึ้นอีกหากครัวเรือนนำเงินส่วนต่างนี้ไปชำระหนี้
คำถามที่น่าสนใจคือ ครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาโดยเฉลี่ยแล้วควรจะลดค่าใช้จ่ายเท่าไร จึงจะทำให้พวกเขาไม่มีปัญหาทางการเงิน?
ผลการศึกษาพบว่า การท่องเที่ยวเป็นรายจ่ายก้อนใหญ่ที่ครัวเรือนที่มีหนี้และมีปัญหาควรลด โดยต้องลดลงถึงร้อยละ 83 จากปริมาณการใช้จ่ายปัจจุบัน เพื่อให้ครัวเรือนมีรายรับเพียงพอกับรายจ่าย
รองลงมาคือ หมวดเสื้อผ้า ซึ่งครัวเรือนควรลดการใช้จ่ายถึงร้อยละ 73 ส่วนค่าอาหารนอกบ้าน และของใช้ส่วนบุคคลก็ควรลดลงร้อยละ 58 และ 54 ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีรายจ่ายอื่นๆ ที่ควรปรับลด การใช้จ่ายเพื่อสร้างวินัยและลดความเสี่ยงทางการเงินในครัวเรือน เช่น ค่าเหล้าและค่าหวยที่ควรลดลง ประมาณครึ่งหนึ่งของที่ใช้จ่ายในปัจจุบัน..
บทความนี้เป็นส่วนหนึ่งจากงานศึกษาของธนาคารแห่งประเทศไทย สามารถอ่านงานศึกษาฉบับเต็มได้ที่ https://www.bot.or.th/…/articl…/Pages/Article_30Oct2019.aspx
โดย
ดร.สรา ชื่นโชคสันต์
นางสาวภาวนิศร์ ชัววัลลี
นายวิริยะ ดำรงค์ศิริ
หมายเหตุ
- งานศึกษานี้ ใช้วิธีการประมวลผลจากข้อมูลแบบสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน (Socio-Economic Survey: SES) ที่สำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 2552 - 2560 ประกอบกับการประมวลผลด้วยการคุมปัจจัยต่างๆ ให้คงที่ด้วยวิธีทางเศรษฐมิติ (Econometric Model)
- บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคลซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
marginal propensity to consume 在 林建甫 Facebook 的最佳貼文
20161006 早上參加台經院國際處舉辦的The 31st Pacific Economic Community Seminar “Quest for Economic Growth Engines”研討會。我被安排開幕做一個致詞,及第一場的主持。結束就已經近12點。致詞稿如下,請批評指教。(說實在有點太長,會不會?)
Distinguished guests, ladies and gentlemen,
Welcome to the 31st Pacific Economic Community Seminar. The theme of this year’s seminar is “Quest for Economic Growth Engines”, which is also an international project of PECC. We initiated this project to the PECC Standing Committee in Yangzhou, China last week.
The reason for proposing such a project is because we have noticed that the IMF has constantly revised downward its outlook for global economic growth since the fourth quarter of 2014. In addition, economists have been stressing a “new normal” or a “new mediocre.” Strong growth or solid recovery seems very unlikely for the time being.
In addition, geopolitical factors are furthering uncertainties amid deteriorating economic conditions; large economies are not showing leadership to pull the world economy along, rather they are desperately trying to cope with their own difficulties. In the face of heavy fiscal constraints and debt pressure, extreme monetary operations, through quantitative easing, have become one of the few workable options. Overcapacity due to overinvestment at bad times has been an issue causing inexhaustible structure reforms, whereas continuous reforms have also slowed growth momentum and limited growth potential. When big players are dealing with either tepid growth or periodical headwinds, soggy demand holds back others that are closely associated with global or regional supply chains.
As every economy is specialized in specific ways, almost none are immune to shrinking world demand. Therefore, to pick one’s growth potential is no longer simply to seek the betterment of oneself, but the well-being of all. Consumption, investment and trade are main engines that used to drive economic growth yet have seemingly lost steam in recent times. Decision makers are responsible for building healthy environments that are able to encourage consumption, investment and trade.
Private or household consumption is the most important component of GDP. Despite consumption preferences and decisions being dissimilar among the economies, it is a rule of thumb that demand for consumption goods is strong in good times, whereas consumers tend to retreat in bad times. Since the marginal propensity to consume theory indicates that an increase in consumer spending occurs with an increase in disposable income, avoiding income traps is essential to support consumption. Income traps have been present in different forms: emerging economies are suffering from middle-income traps, while advanced economies are stressing high-income traps.
In addition, to escape from income traps, building sound social safety nets is also a necessary task to promote private consumption. Saving is critical, especially for developing economies when lacking sufficient social safety nets. However, high saving rates restricts other economic activities, such as consumption. With well functioning safety nets, people will be more willing to spend.
As for investment, it is the key for growth. Besides the fact that investment is a crucial component of domestic demand, it also paves the way for supplying external demand. Not only emerging, but also advanced economies have strived to attract foreign investments. For emerging economies, foreign investment comes with technology and the chance to upgrade economic capacity. For advanced economies, foreign investments bring in capital and job opportunities. Complicated and excessive regulations, poor infrastructure and unstable political systems are some of many reasons that could impede potential foreign investments. Hence, capacity building to create healthy environments through information and knowledge sharing among economic partners to eliminate or mitigate those unattractive factors is much needed.
Last but not least, trade is an engine for GDP growth; otherwise negotiations for most free-trade agreements would not be so difficult to conclude. The conclusion of the TPP has been in the spotlight, as regional supply chains will be reshuffled when the treaty comes about. The TPP also sets a high quality benchmark for others, including the RCEP and the TTIP. However, we are certainly not sure if TPP can be ratified at this moment with respect to so many uncertainties.
Even so, free trade is in theory good for all participants. If an agreement covers the region, then it would be beneficial for the entire region. When a free-trade deal is implemented, tariff and non-tariff barriers are eliminated. As a result, suppliers’ and consumers’ surpluses are maximized; overall welfare increases and resources are optimally allocated. However, free trade poses serious threats for outsiders. For example: rules of origin require a high percentage of intermediate components of a final product to enjoy duty-free treatment. Those requirements reduce outsiders’ chances to compete with members in that trading bloc. As more members will certainly create more benefits, making sure every economy is included would be to seek the well-being of all.
To address the “new mediocre” and revive or explore growth engines, CTPECC is undertaking an international project in line with this seminar. We are honored to have many opinion leaders here to share their views with us today.
Ladies and gentlemen,
With these words, I wish our seminar all success and I wish you all an enjoyable day in Taipei. Thank you.